Tuesday, December 16, 2008

อนาคตพลังงานทดแทน เมื่อน้ำมันดิบราคา 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

อนาคตพลังงานทดแทน เมื่อน้ำมันดิบราคา 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล

    ราคา น้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว และยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ตามความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งกำลังประสบกับวิกฤติทางการเงินครั้งร้ายแรงที่สุด นับจากการตกต่ำทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของโลก เมื่อ 80 ปีที่แล้ว

 

        ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสซื้อขายในตลาด Nymex เมื่อวันศุกร์ ที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 54.43 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเห็นว่าราคาน้ำมันดิบน่าจะอ่อนตัวลงได้อีกจาก ความต้องการน้ำมันทั่วโลกที่จะลดน้อยลง จากภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่จะลุกลามไปทั่วโลก โดยคาดว่าถ้าเศรษฐกิจโลกไม่มีวี่แววว่าจะฟื้นตัว ราคาน้ำมันดิบน่าจะปรับลดลงไปต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ได้ในช่วงสิ้นปีนี้

 

        ปัญหาคือราคาน้ำมันดิบที่ ต่ำกว่า50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรลนี้ ถือเป็นภัยคุกคามอย่างร้ายแรงต่อการขยายตัวของพลังงานทดแทน และส่งผลให้ประเทศไทย ต้องเผชิญปัญหาพลังงานทดแทนที่มีราคาแพงกว่าน้ำมัน โดยปัจจุบันราคาเอทานอลลิตรละ 22-24 บาท ขณะที่น้ำมันเบนซิน 95 หน้าโรงกลั่น ราคาเพียง 9.83 บาทต่อลิตร (ราคาเมื่อวันที่ 26 พ.ย. 51) ซึ่งเป็นราคาที่ยังไม่รวมภาษีสรรพสามิต/ภาษีเทศบาล/กองทุนน้ำมัน/กอง ทุนอนุรักษ์พลังงานและภาษีมูลค่าเพิ่มอีก 10.12 บาทต่อลิตร

 

        ดังนั้นถ้าเอาราคามาเทียบกันโดยยังไม่คิดภาษี ราคาเอทานอล ในปัจจุบันก็แพงกว่าราคาเบนซินถึงลิตรละ 10 กว่าบาท ดังนั้นเมื่อเอามาผสมกับน้ำมันเบนซินในปริมาณ 10% ก็ทำให้ราคาแก๊สโซฮอล์ 95 หน้าโรงกลั่นมีราคา 11.26 บาทต่อลิตร ซึ่งแพงกว่าเบนซิน 95 ถึงลิตรละ 1.43 บาท แต่ราคาขายปลีกแก๊สโซฮอล์ 95 (E-10) ยังคงถูกกว่าเบนซิน 95 ได้ถึงลิตรละ 8.90 บาท ก็เพราะรัฐบาลลดภาษีสรรพสามิต/เงินเก็บเข้ากองทุนให้กับแก๊สโซฮอล์ถึงลิตรละ 5.32 บาท นอกนั้นก็เป็นค่าภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าการตลาดที่ต่ำกว่าการจำหน่ายเบนซิน 95

 

        ปรากฏการณ์เช่นนี้ก็เกิดขึ้นกับแก๊สโซฮอล์ 91 และไบโอดีเซล B5 เช่นเดียวกัน เพราะราคาไบโอดีเซล B100 อยู่ที่ลิตรละ 22-22 บาท ในขณะที่ราคาน้ำมันดีเซลหน้าโรงกลั่นอยู่ที่ลิตรละ 14.77 บาทเท่านั้น

 

        ราคาต้นทุนเอทานอลและ B100 ที่สูงกว่าราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล ธรรมดานี่เองที่ทำให้อนาคตของพลังงานทดแทนประเภทเชื้อเพลิงชีวภาพ (B10-FUEL) ไม่ค่อยสดใสนักและราคาน้ำมันที่ลดลงเรื่อย ๆ ยิ่งเป็นแรงกดดันต่อการขยายขอบข่ายของการใช้ พลังงานทดแทนมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

        จะเห็นว่าภายหลังการปรับราคาน้ำมันเริ่มมีการปรับลดน้ำมันเบนซินธรรมดา มากกว่าน้ำมันแก๊สโซฮอล์ ทำให้ส่วนต่างระหว่างน้ำมันทั้ง 2 ชนิด แคบลงจากแต่เดิมเบนซิน 95 กับแก๊สโซฮอล์ 95 เคยมีส่วนต่างถึงลิตรละ 10.10 บาท แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 8.90 บาท และเบนซิน 91 กับแก๊สโซฮอล์ 91 ก็มีการปรับลดส่วนต่างลงจาก 7.70 บาทต่อลิตร เหลือเพียง 5.50 บาทต่อลิตร เท่านั้น

 

        การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงอย่างมาก และส่วนต่างราคาที่แคบเข้า ประกอบกับผู้บริโภคมีความเชื่อว่าคุณภาพน้ำมันเบนซินดีกว่าแก๊สโซฮอล์ ทำให้ปัจจุบันยอดการใช้แก๊สโซฮอล์เริ่มลดลงและยอดการใช้เบนซินเริ่มสูงขึ้น และคงจะเป็นไปในทิศทางนี้เรื่อย ๆ ถ้าราคาน้ำมันลดลงอีกในอนาคต

 

        รัฐบาลเองก็มีปัญหา เพราะการลดภาษีสรรพสามิต ให้กับแก๊สโซฮอล์ และน้ำมันดีเซลตามมาตรการ 6 เดือน จะครบกำหนดในเดือนกุมภาพันธ์ 2552 จะต้องปรับภาษีสรรพสามิต สำหรับน้ำมันทั้ง 2 ชนิด นี้ขึ้นไปอีก 3.63 บาทต่อลิตร และ 2 .53 บาทต่อลิตรตามลำดับ ยิ่งจะทำให้น้ำมัน 2 ชนิดนี้มีราคาแพงขึ้น และจะไปใกล้เคียงกับราคาน้ำมันเบนซินมากขึ้น

 

        ดังนั้นทางออกของรัฐบาลในระยะสั้น คือ ต้องปรับเพิ่มเพดานการเก็บเงินเข้ากองทุน้ำมันจากผู้ใช้เบนซิน 95 และ 91 เป็น 5 บาทต่อลิตร เพื่อรักษาระดับส่วนต่างของน้ำมันเบนซินและ แก๊สโซฮอล์เอาไว้ที่ระดับ 7-9 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำให้คนไม่เปลี่ยนมาใช้เบนซินธรรมดาทั้ง 95 และ 91 เพิ่มมากขึ้น

 

        ในขณะเดียวกันก็ต้องเร่งแผนยกเลิกการจำหน่ายน้ำมันเบนซิน 91 ให้เหลือแต่น้ำมันแก๊สโซฮอล์ 91 เพียงอย่างเดียว และเปลี่ยนน้ำมันดีเซล B2 เป็น B5 ที่เดิมกำหนดไว้ในปี 2554 ให้เร็วขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหาเอทานอลล้นตลาด และราคาพืชพลังงาน เช่น ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลังและอ้อยตกต่ำ ซึ่งเท่ากับกระสุนนัดเดียวยิงนกได้ 2 ตัว

 

        ส่วนในระยะยาวคงต้องเร่ง ROAD.MAP พืชพลังงานและพลังงานทดแทนให้ออกมามีผลบังคับใช้โดยเร็ว ทั้งในด้านการขยายพื้นที่การเพาะปลูกและเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ตลอดจนการสร้างเสถียรภาพด้านราคาให้กับพืชพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมให้มีการนำพืชพลังงานเข้าซื้อขายในตลาดซื้อขาย ผลิตภัณฑ์ เกษตรล่วงหน้า (AFET) หรือตั้งกองทุนขึ้นมาดูแลเสถียรภาพของพืชพลังงานโดยตรง

 

        แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าราคาน้ำมันลงมาต่ำกว่า 50 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล จริง ๆ และราคาพืชพลังงานไม่ลดลงในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ก็บอกได้คำเดียวว่าอนาคตของพลังงานทดแทนในบ้านเราคงไม่สดใสแน่นอน

Wednesday, November 19, 2008

"ฮีโน่"เทก้อนโตตั้งไทยเป็นฐานผลิตรถNGV

"ฮีโน่"เทก้อนโตตั้งไทยเป็นฐานผลิตรถNGV

" ฮีโน่" ดันไทยเป็นฐานผลิตรถบรรทุกขนาดกลาง เทงบฯอีก 200 ล้าน ผลิตรถบรรทุกเอ็นจีวีก่อนส่งลุยตลาดปีหน้า พร้อมเดินหน้าทำตลาดอินเดียก่อนขยายไปออสเตรเลียและตะวันออกกลางในอีก 2 ปี ประกาศไม่ย้ายฐานการผลิตเหตุไม่คุ้มทุน แย้มพร้อมลงทุนเพิ่มอีกเพื่อรับตลาดส่งออก



นายโยชิโอะ ชิไร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ฮีโน่มอเตอร์ส จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ผู้ผลิตและจำหน่ายรถบรรทุก-รถบัส ยี่ห้อ"ฮีโน"
กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนสำหรับตลาดในประเทศไทยมูลค่าประมาณ 100-200 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับการพัฒนารถบรรทุกที่ใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวี และการปรับปรุงไลน์ผลิตเพื่อรองรับการส่งออกรถบรรทุกไปจำหน่ายยังตลาด อินเดีย

บริษัทจะใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถบรรทุกขนาดกลางของ ภูมิภาค เพื่อขยายฐานส่งออกไปยังอินเดียในช่วงเดือนเมษายนปีหน้าประมาณ 1,600 คัน หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,100 ล้านบาท และในปีถัดไปจำนวน 3,200 คัน คิดเป็นมูลค่า 6,100 ล้านบาท ก่อนที่จะมีการขยายไปยังตลาดออสเตรเลียในปี 2553 ตะวันออก กลางและเอเชียในปี 2555

ส่วนผลกระทบจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูง ขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ประกอบกับความผันผวนและวิกฤตทางการเงินในสหรัฐอเมริกานั้น เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อยอดการจำหน่ายของบริษัทแต่อย่างใด

เนื่อง จากบริษัทได้เตรียมแผนการและความพร้อมเพื่อรับมือกับปัญหาดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง การยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า รวมถึงการสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพจะส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทเป็นไปตาม เป้าหมายที่วางไว้

เห็นได้จากยอดการจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทในปี 2550 บริษัทมียอดจำหน่าย 115,000 คัน แบ่งเป็นการจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น 50,000 คัน และตลาดต่างประเทศอีก 65,000 คัน ซึ่งถือเป็นปีแรกที่ยอดการจำหน่ายรถยนต์ของบริษัทในตลาดต่างประเทศมีปริมาณ สูงกว่าการจำหน่ายในประเทศ พร้อมกันนี้บริษัทตั้งเป้าว่าภายใน ปี 2558 จะต้องมียอดจำหน่าย 200,000 คัน โดยตลาดหลักจะเป็นตลาดต่างประเทศ

" ตลอดระยะเวลา 46 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถือเป็นตลาดสำคัญของเรา เห็นได้จากในรอบปีที่ผ่านมายอดจำหน่ายของฮีโน่จะมีการปรับเปลี่ยนเป็นตลาด ส่งออกมีค่อนข้างสูงกว่าตลาดญี่ปุ่น ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เราจะต้องเดินและเน้นตลาดส่งนอก ประเทศเพิ่มขึ้น"

ขณะที่นายโยชิโนริ โนกูจิ กรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ฮีโน่มอเตอร์สเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงยอดจำหน่ายของบริษัทตลอดระยะเวลา 9 เดือนที่ผ่านมาว่ามีสูงถึง 5,209 คัน คิดเป็น 40% จากตลาดรวมที่มียอดจำหน่าย 12,916 คัน เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่าบริษัทมีส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น 3%

สาเหตุที่ทำให้ยอด จำหน่ายรถบรรทุกลดลงถึง 18% นั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากภาวะราคาน้ำมันดีเซลที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องใน ช่วงกลางปีที่ผ่านมา ประกอบกับภาวะความไม่มั่นคงทางการเมือง และความต้องการใช้รถบรรทุกเอ็นจีวีมีเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ยอดจำหน่ายชะลอตัว แต่ทั้งนี้เชื่อว่าตลาดจะเริ่มกลับมาดีขึ้นอีกครั้งในปีหน้าอย่างแน่นอน

" ในปีหน้าเราเตรียมส่งรถบรรทุกเอ็นจีวีทำตลาด โดยช่วงแรกในเดือนเมษายนจะเป็นรุ่นเอฟจี และเอฟเอ็ม หัวลากขนาด 260 แรงม้าก่อน และจะมีการทยอยเพิ่มรุ่นในช่วงกลางปี ซึ่งเราเชื่อว่ารถเอ็นจีวีของเราจะได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน"

ด้าน นายอำนวย พงษ์วิจารณ์ กรรมการบริหารอาวุโส กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ถึงกรณีที่อาจจะมีบริษัทผู้ผลิตรถบรรทุกบางรายจะตัดสินใจย้ายฐานการผลิตไป ยังประเทศอื่นในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากต้องการให้ภาครัฐได้กลับมาทบทวนเรื่องของการให้สิทธิพิเศษทางด้าน ภาษีการนำเข้าชิ้นส่วนหรือซีเคดีเป็น 0% จากปัจจุบันอยู่ที่ 10% เหมือนประเทศเพื่อนบ้านนั้น บริษัทยืนยันว่ายังไม่มีแนวคิดที่จะย้ายฐานการผลิตแต่อย่างใด

เนื่อง จากบริษัทได้ตัดสินใจลงทุนและใช้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถบรรทุก ขนาดกลางที่สำคัญ บวกกับช่วงที่ผ่านมาได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่องทั้งในส่วนของบริษัทเอง และบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เป็นพันธมิตร หากมีการตัดสินใจย้ายฐานการผลิตก็อาจจะเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า แต่ทั้งนี้เชื่อว่าอนาคตหากประเทศไทยมีความพร้อมในการผลิตรถรุ่นใดก็มีความ เป็นไปได้ว่าบริษัทแม่อาจจะตัดสินใจนำรถรุ่น ดังกล่าวไปใช้เป็นฐานการผลิตในประเทศอื่นแทนมากกว่า

นอกจากนี้ บริษัทได้เตรียมการลงทุนอย่างต่อเนื่อง หลังจากลงทุนเพื่อรับการผลิตรถบรรทุกเอ็นจีวี และรถบรรทุกเพื่อป้อนให้กับตลาดอินเดียไปแล้ว 200 ล้านบาท ส่วนตลาดออสเตรเลีย ตะวันออก กลาง และตลาดเอเชีย น่าจะต้องมีการลงทุนเพิ่มอย่างแน่นอน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของการศึกษารายละเอียด

 

ทาทา-แดวูเผยโฉม 'โนวัส' รถบรรทุกต้นแบบแอลพีจี

ทาทา-แดวูเผยโฉม 'โนวัส' รถบรรทุกต้นแบบแอลพีจี

บริษัท ทาทา แดวู ในเครือทาทา มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถบรรทุกที่ใหญ่เป็นอันดับสองของเกาหลีใต้ ประสบความสำเร็จในการพัฒนารถบรรทุกต้นแบบขนาดกลางที่ขับเคลื่อนด้วยก๊าซหุง ต้ม (แอลพีจี) เป็นรุ่นแรกของประเทศ โดยใช้ชื่อว่า 'โนวัส' (Novus) ซึ่งรถบรรทุกขนาดกลางคันนี้เป็นรถขนาด 4.5 ตัน ใช้เครื่องยนต์แอลพีจีขนาด 5.9 ลิตร 240 แรงม้า เทคโนโลยีหัวฉีด Liquid Phase Injection (LPLi)

สำหรับการพัฒนารถรุ่นดังกล่าวได้รับความร่วมมือจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงพลังงานของเกาหลีใต้ รวมถึง บริษัท โคเรีย เอเนอร์จี แมเนจเมนท์ฯ และองค์กรอื่นๆ อีก 12 องค์กร

รถบรรทุกรุ่นนี้ปล่อยมลพิษลดลงตามมาตรฐานยูโร-4 ลบข้อจำกัดของรถที่ใช้เครื่องยนต์แอลพีจีและดีเซลที่มักมีปัญหากำลังเครื่อง ยนต์ต่ำและปัญหาในการสตาร์ตเมื่ออากาศหนาว นอกจากนี้ รถรุ่นโนวัสยังปล่อยไอเสียน้อยกว่า เสียงเครื่องยนต์เบากว่า และเครื่องยนต์มีอายุยืนยาวกว่าเครื่องยนต์ดีเซลทั่วไปอีกด้วย

รถต้นแบบรุ่นดังกล่าวถูกนำออกแสดงในงานเวิลด์ แอลพีจี ฟอรัม ครั้งที่ 21 ที่กรุงโซล และงานกุนซาน อินเตอร์เนชั่นแนล ออโต้ เอ็กซ์โป ทั้งนี้ งานเวิลด์ แอลพีจี ฟอรัม มุ่งส่งเสริมการใช้ก๊าซแอลพีจีเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชนและช่วย บรรเทาปัญหาสภาพอากาศแปรปรวนจากภาวะโลกร้อน

การพัฒนารถบรรทุกขนาดกลางที่ใช้ก๊าซแอลพีจี เป็นส่วนหนึ่งของความมุ่งมั่นของทาทา แดวู ในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานสะอาด ที่ผ่านมา บริษัท ยังได้พัฒนารถบรรทุกที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ซีเอ็นจี และแอลเอ็นจี ซึ่งมีอัตราการปล่อยไอเสียต่ำอีกด้วย

 

Tuesday, November 18, 2008

เพอร์โซนาCNGไม่เกิน6แสน 1600 cc E20

เพอร์โซนาCNGไม่เกิน6แสน + โปรตอนเปิดตัวรถติดก๊าซ- ชี้ทำตลาดปีแรกฟันยอดขาย 4,000 คัน

โปรตอน ลุยตลาดเก๋งซีเอ็นจี เปิดตัวเพอร์โซนา ใช้เชื้อเพลิง 2 ระบบ เคาะราคาไม่เกิน 6 แสนบาท พร้อมรับประกันจากโรงงานไทยนาน3ปี /แสนกม. ชูจุดแข็งทั้งประหยัดและคุ้มราคา เร่งบริษัทแม่ส่งมอบรถให้ลูกค้า สรุปเปิดตัวปีแรกสุดหรูตัดยอดขาย 4,000 คัน

 

นายธวัชชัย จึงสงวนพรสุข กรรมการบริหาร บริษัท พระนครโอโตเซลส์ จำกัด ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์โปรตอนในประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัท เตรียมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ โปรตอน เพอร์โซนา ซีเอ็นจี (Proton Persona CNG) อย่างเป็นทางการในวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ของลูกค้าชาวไทย สู้วิกฤติราคาน้ำมัน ล้ำหน้าด้วยเทคโนโลยีล่าสุด ผลงานการออกแบบ ระบบควบคุมบังคับและระบบกันสะเทือนที่เหนือชั้นด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีโดยทีม วิศวกรจากโลตัส ค่ายรถสปอร์ต ประเทศอังกฤษ ทำให้มีศักยภาพสูงและคุ้มค่าด้วยระบบขับเคลื่อนที่สมบูรณ์แบบ ขนาดเครื่องยนต์ 1600 ซีซี ใช้เชื้อเพลิง 2 ระบบ ใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซินและก๊าซซีเอ็นจี อีกทั้งระบบยังสามารถรองรับแก๊สโซฮอล์อี 20 ซึ่งถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่โปรตอนเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่พร้อมด้วยระบบ พลังงานเชื้อเพลิงซีเอ็นจี โดยตั้งราคาจำหน่ายเริ่มต้นไม่เกิน 600,000 บาท

 

นอกจากนี้ โปรตอน เพอร์โซนา ซีเอ็นจี ยังสามารถสนองตอบการเดินทางที่ไกลขึ้น ด้วยการเพิ่มขนาดความจุถังก๊าซให้สูงสุดถึง 90 ลิตรน้ำ และยังมั่นใจในคุณภาพที่ได้รับการรับรองมาตรฐานการติดตั้ง ซีเอ็นจี จากโรงงานประกอบรถยนต์บางชันเยนเนอเรลเอเซมบลี พร้อมความอุ่นใจมากขึ้นด้วยการรับประกันคุณภาพรถยนต์ยาวนานถึง 3 ปีเต็ม หรือ 100,000 กม. (อย่างใดอย่างหนึ่งมาถึงก่อน)

 

นายธวัชชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า จากสถานการณ์น้ำมันแพงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ลูกค้ามองหารถยนต์ที่ประหยัดพลังงานมากขึ้น การนำโปรตอนเข้ามาในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาถือเป็นการตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบัน โปรตอน มีรถยนต์จำหน่ายอยู่ 3 รุ่นคือ โปรตอน แซฟวี่, โปรตอน นีโอ และโปรตอน เจน-ทู

เมื่อเปรียบเทียบสมรรถนะต่าง ๆ ได้ทดลองขับ กับราคาจำหน่ายแล้วทำให้ผู้บริโภคตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้มี ยอดส่งมอบแล้วกว่า 2,000 คัน โดยทุกรุ่นยังมียอดจองเข้ามาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นจังหวะที่ผู้ใช้รถนิยมซื้อรถยนต์นั่งขนาดเล็กที่ประหยัดน้ำมัน ในราคาคุ้มค่า ยอดจองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยขณะนี้เรามีปริมาณการส่งมอบรถถึงเดือนละ ประมาณ 500 คัน ทำให้คาดว่า ในปี 2551 โปรตอนจะมียอดขายรวมประมาณ 4,000 คัน ปัจจุบัน บริษัท แต่งตั้งผู้จำหน่ายรถยนต์โปรตอนทั่วประเทศรวม 31 แห่ง และวางแผนให้มีผู้จำหน่ายรวม 40 แห่งภายในสิ้นปีนี้ โดยแบ่งเป็นกรุงเทพฯ และปริมณฑล 11 แห่ง และต่างจังหวัด 29 แห่ง

 

"โปรตอน เพอร์โซนา ซีเอ็นจี ใหม่ เหนือกว่าการขับขี่เพราะนี่คือที่สุดแห่งการใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบ กับรูปลักษณ์ของสปอร์ตซีดาน ออกแบบใหม่ทั้งตัวตั้งแต่กระจังหน้าจดไฟท้าย มั่นใจทุกการขับขี่ด้วยพวงมาลัยที่ตอบสนองได้รวดเร็วเท่าที่ใจต้องการ โฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้ามัลติรีเฟล็กเตอร์ พร้อมไฟตัดหมอกเพิ่มทัศนวิสัยในการขับขี่ ล้ออัลลอยด์ลายใหม่ดึงดูดทุกสายตา เพิ่มลูกเล่นเน้นฟังก์ชันเพื่อความสะดวกสบายสูงสุด เบาะนั่งได้รับการออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ เข็มขัดนิรภัยแบบดึงกลับอัตโนมัติ Pre-tensioner ให้ความปลอดภัยสูง ถุงลมนิรภัยคู่หน้าแปรผันตามความรุนแรง ระบบเบรก ABS และระบบกระจายแรงเบรกอัตโนมัติ ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EDB (Electronic Brakeforce Distribution) ทำหน้าที่กระจายแรงเบรกระหว่างล้อคู่หน้าและหลังได้อย่างสมดุลและแม่นยำ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการหยุดรถได้อย่างปลอดภัยในทุกสภาวะบนท้องถนน พร้อมระบบ BEBD (Backup Electronic Brakeforce Distribution) เป็นระบบที่ทำหน้าที่สำรองการทำงานของ ABS และ EDB เพื่อให้เบรกด้านหลังทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ"

 

โปรตอน เพอร์โซนา ซีเอ็นจี มาพร้อมเครื่องยนต์ขนาด 1600 ซีซี ในรหัส Campro ขุมพลัง 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว พร้อมระบบท่อไอดีแปรผัน IAFM ให้กำลังสูงสุดถึง 110 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 148 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที ระบบการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและเชื้อเพลิง ซีเอ็นจี เป็นแบบหัวฉีดมัลติพอยต์ มีทั้งแบบเกียร์ธรรมดาและเกียร์อัตโนมัติ

 

นอกจากนี้ โปรตอน เพอร์โซนา ซีเอ็นจี ยังคงพื้นที่ห้องสัมภาระด้านท้ายกว้างขวาง สวยงามและปลอดภัย ด้วยชุดครอบถัง ซีเอ็นจี ผลิตจากวัสดุกันลามไฟตามมาตรฐาน FMVSS (Federal Motor Vehicle Safety Standards) เพิ่มความมั่นใจให้ทุกเส้นทางการขับขี่ พร้อมราคาพิเศษสุด มีให้เลือกถึง 3 รุ่นคือ รุ่น 1.6L Medium Line เกียร์ธรรมดา , รุ่น 1.6L Medium Line เกียร์อัตโนมัติ และรุ่น 1.6 High Line เกียร์อัตโนมัติ

 

โปรตอน เพอร์โซนา ได้รับรางวัล "รถยอดเยี่ยมแห่งปีของมาเลเซีย" ในงานประกาศผลรางวัล Frost & Sullivan ASEAN Automotive Awards เมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันคุณภาพมาตรฐาน และความพึงพอใจของลูกค้า ด้วยมติเอกฉันท์จากผู้บริโภคกว่า 55,000 คนที่โหวตให้ โปรตอน เพอร์โซนา เป็นรถที่ชื่นชอบมากที่สุด

 

Friday, July 25, 2008

natural gas is cheaper than alcohol and gasoline

Brazillian Rally Demonstrated NGV Cost and Emissions Benefits
Source NGV Global
Wednesday, 23 July 2008 00:50
Brazil, Rio de Janeiro
A 700 mile demonstration rally has produced results showing natural
gas is cheaper than alcohol and gasoline and also that it produces
fewer greenhouse gas emissions. Three identical vehicles traveled 712
miles in the circuit Rio-Itatiaia-Rio-B๚zios-Rio to compare the
performance of the three fuels. Experts evaluating the project say
that the operational costs of the natural gas vehicle were 61.05
reales ($US38.13) compared with 124.13 reales ($US77.53) for the
alcohol vehicle and 130.40 reales ($ 81.44) for the gasoline vehicle.
CO2 emissions were measured at 167 grams of carbon dioxide (CO2) per
kilometer for natural gas while gasoline and alcohol emitted 207 and
183 grams respectively.
Falabella Bank Joins NGV Con

Friday, July 18, 2008

ดันไทยส่งออกพืชพลังงานพืช ชี้ไม่กระทบราคาอาหารคนแพง

ดันไทยส่งออกพืชพลังงานพืช ชี้ไม่กระทบราคาอาหารคนแพง
    การ ผลักดันพลังงานจากพืช (BioFuel) สำหรับการใช้ในรถยนต์และยานพาหนะกลายเป็นประเด็นที่หลายประเทศหวั่นวิตกว่า จะส่งผลให้ราคาอาหารสำหรับคนจะขาดแคลนและราคาพุ่งสูงขึ้น ทำให้ในบางประเทศออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลหยุดส่งเสริมพลังงานดังกล่าว หลายคนเกิดคำถามว่า หากประเทศไทยดำเนินกลยุทธ์ดังกล่าว จะมีผลอย่างไร

        สำหรับในต่างประเทศ โดยเฉพาะในแถบยุโรปนั้น หลายประเทศได้ออกมาวิจัยกันอย่างเป็นจริงเป็นจังว่า การนโยบายการส่งเสริมพลังงานจากพืชนั้นมีข้อดีและข้อเสียอย่างไร และล่าสุดผลการวิจัยล่าสุดจาก ศ.เอ็ด กาลแล็ตเจอร์ ประธาน อาร์เอฟเอ ซึ่งเป็นองค์กรที่ดูแลด้านพลังงานทดแทนและพลังงานที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ ได้ ของอังกฤษ ได้ออกมาเรียกร้องรัฐบาลอังกฤษว่า ควรจะมีการชะลอแผนการส่งเสริมพลังงานทางเลือกอย่าง ไบโอดีเซลเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการขนส่งและรนถยนต์จนกว่าจะสามารถมั่นใจได้ ว่าการส่งเสริมดังกล่าวจะไม่ส่งผลต่อราคาพืชอาหารของคน และหากจะเริ่มต้นสนับสนุนก็ควรจะมีการวางแผนและกำหนดขอบเขตการปลูกพืช พลังงานดังกล่าวอย่างจำกัด

        "อุตสาหกรรมพืชพลังงาน เป็นธุรกิจที่มีอนาคตสดใส แต่ทว่าก็ควรจะมีการควบคุมไม่ให้กระทบกับราคาพืชอาหารของมนุษย์ โดยเฉพาะประชากรส่วนใหญ่ที่มีรายได้น้อยจนถึงปานกลาง ดังนั้นหน้าที่ของรัฐบาลก็คือ กำหนดขอบเขตและระยะเวลาการส่งเสริมที่เหมาะสม ไม่ให้เกษตรกรหันไปปลูกพืชเพื่อการพลังงานจนละเลยการปลูกพืชสำหรับอาหาร"

        นายรัช เคลลี่ เลขาธิการการขนส่งแห่งสหราชอาณาจักร กล่าวว่า อังกฤษได้มีการชะลอการส่งเสริมให้ใช้พลังงานทางเลือกออกไปอีก 3 ปี จากเดิมที่ต้องการสนับสนุนให้มีการใช้พลังงานทางเลือก 5% ภายในปี 2010 โดยแผนดังกล่าวจะเลื่อนไปเป็นปี 2013

        "อังกฤษก็ยังสนับสนุนนโยบายของสหภาพยุโรปหรืออียูที่ต้องการให้มีการหันมา ใช้พลังงานทางเลือกในสัดส่วน 10% ในอุตสาหกรรมการขนส่งภายในปี 2020 แต่ทว่าจะต้องมีการพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ให้เกิดผลกระทบกับราคาอาหารสำหรับประชากร"

        สำหรับในประเทศไทย นายธิบดี หาญประเสริฐ ประธานชมรมพลังงานไทยทำไทยใช้และรองประธานมูลนิธิสถาบันพลังงานทดแทนเอทานอล -ไบโอดีเซล เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า การส่งเสริมพลังงานทางเลือกสำหรับรถยนต์และการขนส่งในประเทศไทย ควรจะเดินหน้าต่อไป และพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้ส่งออกพลังงานจากพืชรายใหญ่ของโลก

        "เรามีการส่งเสริมการปลูกปาล์ม อ้อย มันสำปะหลัง และพื้นที่สำหรับปลูกจำนวนมาก ดังนั้นหากว่าเรามีแนวนโยบายที่ชัดเจนและวางแผนในระยะยาว ก็จะเป็นโอกาส ทำให้เราสามารถส่งพืชพลังงานดังกล่าวออกไปขายทั่วโลก ในราคาที่เหมาะสม ผลที่ตามมาก็คือ เกษตรกรมีรายได้ดีขึ้น โดยในความเห็นของตนนั้นมองว่า ไม่ได้ทำให้พืชอาหารแพงขึ้น"

        อย่างไรก็ตามสำหรับแผนการผลักดันในเรื่องพลังงานจากเอทานอลและไบโอดีเซลของ ไทยนั้นยังต้องการนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาล โดยในเรื่องของเอทานอลสำหรับรถยนต์เครื่องยนต์เบนซินยังมีประเด็นที่ต้อง จัดการอย่างเร่งด่วน ขณะเดียวกันพลังงานสำหรับรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซลนั้นอาจจะน่าเป็นห่วงมาก และยังอยู่ในภาวะสุญญากาศ โดยหลายหน่วยงานทั้งรัฐบาลและเอกชนได้มุ่งการแก้ไขปัญหาพลังงานสำหรับรถยนต์ เบนซินเป็นหลัก และอยากให้หน่วยงานต่างๆมีการแก้ไขปัญหาและวางแผนกันในระยะยาว เนื่องจากตลาดรถยนต์ในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์เครื่องยนต์ดีเซล โดยเฉพาะรถปิกอัพที่มีสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของตลาดรถไทย มาโดยตลอด

        การผลักดันให้พลังงานไบโอดีเซล เป็นพลังงานทางเลือก คาดว่าจะต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 5 ปี เนื่องจากการปลูกปาล์มเพื่อให้ได้ผลผลิตเพื่อนำมาทำน้ำมันสำหรับผลิตไบโอ ดีเซลต้องใช้ระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี และอีก 2 ปีจะเป็นการพัฒนาวิจัยศึกษาอีกทั้งการผลักดันไบโอดีเซลก็เป็นเรื่องยาก มากกว่าการผลักดันพลังงานจากเอทานอล ที่เห็นผลเร็วกว่า

        อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลมีการผลักดันอย่างเป็นระบบและมีทิศทางที่ชัดเจนเชื่อ ว่า จะเป็นผลดีต่อประเทศไทย ที่เป็นผู้ค้าน้ำมันปาล์มเป็นอันดับต้นๆของโลก โดยในปีที่ผ่านมาไทยมีการผลิตน้ำมันปาล์มราว 1.24 ล้านตันต่อปี โดยจำนวน 8.6 แสนล้านตันเป็นการผลิตเพื่อใช้ในประเทศและที่เหลือสำหรับการส่งออก คาดว่าในปี 2551 นี้ปริมาณการผลิตจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.4 ล้านตัน และมีโรงงานกว่า 60 โรงงานที่ผลิตน้ำมันดังกล่าว

        "ประเด็นเรื่องไบโอดีเซลก็ยังต้องพูดอีกเยอะ โดยเฉพาะเรื่องการสร้างสมดุลเรื่องการบริโภคดีเซลและเบนซิน เพราะถ้าดีเซลยังใช้มาก เราก็ยังต้องนำเข้าน้ำมันดิบเข้ามาเท่าเดิม รัฐต้องเป็นกรรมการตัดสินอย่างยุติธรรมกับชาติ อย่างน้อยต้องออกเป็นพ.ร.บ.เหมือนสหรัฐอเมริกา ที่บอกว่าปี 2552 จะต้องผลิต 350 ล้านลิตรต่อวัน"

Friday, July 11, 2008

ปตท.แนะรัฐขึ้นNGVเป็นกก.ละ12บ. หวั่นตรึงราคา ซ้ำรอยLPG

 ปตท.แนะรัฐขึ้นNGVเป็นกก.ละ12บ. หวั่นตรึงราคา ซ้ำรอยLPG

นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวยืนยันถึงความจำเป็นที่จะต้องปรับราคาก๊าซธรรมชาติใช้ในรถยนต์ หรือ NGVให้สูงขึ้นเนื่องจากระดับราคาก๊าซ NGV ในปัจจุบันที่ตรึงไว้ที่ระดับ 8.50 บาทต่อกิโลกรัม เป็นราคาที่อ้างอิงกับฐานราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ระดับ 20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นไปแตะระดับ 130 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แล้ว ซึ่งหากรัฐบาลยังคงตรึงราคาจำหน่าย NGV ต่อไปจะเป็นปัญหาเช่นเดียวกับ LPG

ผู้บริหาร ปตท. กล่าวต่อว่า ดังนั้น ในปีหน้ารัฐบาลควรจะปรับขึ้นราคาก๊าซ NGV เพิ่มเป็น 12 บาทต่อกิโลกรัม และเพิ่มเป็น 13 บาทต่อกิโลกรัม ในปี 2553 และในปีถัดไปปลดปล่อยให้ราคาเป็นไปตามกลไกตลาดโลกแต่จะต้องมีราคาต่ำกว่า น้ำมันดีเซลร้อยละ 50 อย่างไรก็ตาม หากประชาชนหันมาติดตั้งก๊าซ NGV ในขณะนี้ก่อนที่จะมีการปรับขึ้นราคาในช่วง 5 เดือนหลังจากนี้ก็ถือว่า ยังมีความคุ้มค่ากับการลงทุนในการติดตั้ง

ปตท.ผุดซูเปอร์ปั๊มNGV 40 ตู้จ่าย นำร่อง 6 แห่ง รองรับรวดเดียว60คัน

 ปตท.ผุดซูเปอร์ปั๊มNGV 40 ตู้จ่าย นำร่อง 6 แห่ง รองรับรวดเดียว60คัน

ปตท. ผุดคอนเซ็ปต์ใหม่ 'ซูเปอร์ปั๊ม NGV' 40 ตู้จ่าย รองรับรถรวดเดียว60คัน นำร่อง 4 แห่ง พร้อมขอเช่าพื้นที่ รฟท.-รฟม. ที่'หมอชิต-พระรามเก้า'สร้างเพิ่มอีก 2 แห่ง



นาย ณัฐชาติ จารุจินดา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ ปตท.เตรียมเปิดสถานีบริการก๊าซธรรมชาติ หรือ NGV ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ล่าสุดที่เรียกว่า "ซูเปอร์ปั๊ม NGV" โดยสถานีบริการน้ำมันแห่งนี้จะมีตู้จ่ายก๊าซ NGV คอยให้บริการตั้งแต่ 20-40 ตู้ บนพื้นที่ขนาดใหญ่ 2-3 ไร่/แห่ง จำนวน 6 สถานี จะเริ่มให้บริการได้ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้ ได้แก่

สถานีบริการ NGV สายใต้ใหม่ บนถนนพุทธมณฑลสาย 2, สถานีบริการ NGV ร่มเกล้า, สถานีบริการ NGV ราชพฤกษ์/ กัลปพฤกษ์ และสถานีบริการ NGV รังสิต ซึ่งสถานีบริการ NGV ทั้ง 4 แห่งนี้ ปตท.จะวางท่อก๊าซธรรมชาติพาดผ่านและเชื่อมต่อกับสถานีบริการก๊าซธรรมชาติโดย ตรง แทนการส่งก๊าซ NGV ด้วยรถขนส่ง ส่วนความพิเศษของซูเปอร์ปั๊ม NGV ที่มีตู้จ่ายตั้งแต่ 20-40 ตู้ (1 ตู้มี 2 หัวจ่าย) จะสามารถรองรับรถแท็กซี่ที่เข้ามาเติมก๊าซในเวลาเดียวกันได้ถึง 60 คัน

ซึ่งบริษัท ปตท. ต้องการขยายสถานีบริการในรูปแบบนี้เพื่อรองรับรถแท็กซี่โดยเฉพาะ แก้ไขปัญหาต้องใช้เวลารอเติมก๊าซ NGV เป็นเวลานาน

สำหรับ การลงทุนต่อสถานีบริการก๊าซธรรมชาติภายใต้คอนเซ็ปต์ ซูเปอร์ปั๊ม NGV นี้ จะใช้วงเงินประมาณ 70-80 ล้านบาท/แห่ง นอกจากนี้บริษัท ปตท.ยังได้ยื่นเรื่องขอเช่าพื้นที่ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) บริเวณสถานีขนส่งหมอชิต กับพื้นที่ของการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริเวณถนนพระรามเก้า เพื่อพัฒนาเป็นซูเปอร์ปั้ม NGV ด้วย

ขณะ นี้ ปตท.กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาว่า เงื่อนไขสัญญาเช่าจะเป็นอย่างไร สำหรับพื้นที่เช่าทั้งสองค่อนข้างเหมาะสม เนื่องจากบริเวณสถานีขนส่งหมอชิตและพระรามเก้ามีพื้นที่ประมาณ 2-3 ไร่ เหมาะที่จะขยายเป็นสถานีบริการ NGV ขนาดใหญ่ รวมถึงเป็นพื้นที่ที่มีรถแท็กซี่จำนวนมากและเป็นจุดเชื่อมต่อของ ผู้โดยสารที่ต้องใช้บริการรถแท็กซี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถนนพระรามเก้าที่จะเชื่อมต่อกับ Airport Link ด้วย

" ปัญหาใหญ่ในขณะนี้ก็คือ รถแท็กซี่รอเติมก๊าซ NGV นานมาก เราต้องการแก้ปัญหานี้ และพบว่าซูเปอร์ปั๊มเป็นคำตอบที่ถูกต้อง เพราะรองรับได้รวดเดียว 60 คันเลย ก็จะร่นระยะเวลาลงไป ตอนนี้เรารอ แค่ทั้ง ร.ฟ.ท.และ รฟม.ยืนยันให้เราเช่าก็เข้าไปพัฒนาได้เลย และเชื่อมั่นว่าจะได้เห็นซูเปอร์ปั๊ม ทั้งที่หมอชิตและพระรามเก้าใน ปีนี้แน่นอน" นายณัฐชาติกล่าว

นายณัฐชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า หาก ร.ฟ.ท.-รฟม.ไม่พิจารณาให้เช่าพื้นที่ ปตท.ก็มีแผนสำรองไว้ในกรณีนี้ ด้วยการหารือกับบริษัท ขนส่ง จำกัด หรือ บ.ข.ส. ที่มีพื้นที่ใกล้เคียงกันว่าอาจจะเข้าไปขอเช่าพื้นที่ แต่คงพัฒนาได้เพียงสถานีบริการ NGV ขนาดเล็กเท่านั้น เนื่องจากพื้นที่ไม่ได้มาตรฐานที่ 2-3 ไร่ตามที่ต้องการ นอกจากนี้ยังได้รับความร่วมมือจากสถานีบริการก๊าซหุงต้ม (LPG) บริเวณสถานีขนส่งหมอชิตที่จะรับเป็นดีลเลอร์จำหน่ายก๊าซ NGV เพิ่มเติมตู้จ่ายก๊าซภายในสถานีบริการเพื่อรองรับความต้องการใช้ในพื้นที่ ดังกล่าวด้วย

นอกจากนี้ นายณัฐชาติยังกล่าวถึงการดำเนินการตามแผน Roadmap NGV ของกระทรวงพลังงาน ที่ต้องการขยายการใช้ก๊าซ NGV เพื่อลดการใช้น้ำมันในภาคขนส่งลงให้ได้ร้อยละ 20 ภายในปี 2555 ว่า นอกเหนือจากการลงทุนเพื่อวางท่อก๊าซ 3 สาย ได้แก่ ท่อสายเอเชีย (สีเหลือง)- ท่อสายมิตรภาพ (สีแดง) และท่อสายเพชรเกษม (สีส้ม) ด้วยเงินลงทุนทั้งสิ้น 51,650 ล้านบาทแล้ว

ตามไปดู ป้ายแดงติดก๊าซ

 ตามไปดู ป้ายแดงติดก๊าซ

ใน ยุคน้ำมันแพงหูฉี่ ใครๆ ก็นิยมหันไปติดตั้งถังก๊าซ ทำให้ช่วงนี้ปั๊มก๊าซหรืออู่ที่รับติดตั้งถังก๊าซ รับทรัพย์รวยไม่รู้เรื่อง บางอู่ กว่าลูกค้าจะจองติดถังก๊าซได้ ต้องรอคิวเป็นเดือน แต่ก็ต้องยอม เพราะบางบ้านแบกจ่ายราคาค่าน้ำมันที่สูงขึ้นไม่ไหว

บางอู่ ยอดจองแต่ละเดือน มีเป็นร้อยๆ คัน ยิ่งถ้าเป็นอู่ที่ให้ราคาถูกกว่าท้องตลาดทั่วไป ยอดจองรถติดก๊าซก็จะล้นทะลัก จนบางอู่ไม่สามารถตอบสนองลูกค้าได้เพราะถังหมด ไม่มีของ เนื่องจากไม่ได้ผลิตถังก๊าซขายเอง

ผู้สื่อข่าวถาม "ยงยุทธ โกยมา" เจ้าของโตโยต้า อัลติส ป้ายแดง ไปติดตั้งถังก๊าซ ก่อนหน้านี้ "ยงยุทธ" ใช้รถปิกอัพ แต่สู้ราคาน้ำมันดีเซลลิตรละ 42 บาทไม่ไหว จึงเอารถปิกอัพไปเทิร์นเปลี่ยนมาเป็นรถเก๋งอัลติส แล้วติดถังก๊าซ เพื่อหวังประหยัดค่าใช้จ่าย

อู่ที่เขาเลือกอยู่แถวงามวงศ์วาน ในอู่มีรถบ้านจำนวนหลายสิบคัน ต่อคิวยาวเพื่อรอติดตั้งก๊าซเอ็นจีวี ลูกค้าผู้มาติดตั้งก๊าซ

รายหนึ่งเล่าว่า "...ที่ต้องหันมาเติมก๊าซ เพราะราคาน้ำมันสูงเหลือเกิน (ครับ) ไม่ไหวจริงๆ"

ลูกค้า อีกราย โอดครวญว่า "...การเติมก๊าซน่าจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในบ้านได้ในทางหนึ่ง เพราะไม่เฉพาะน้ำมันอย่างเดียวที่แพง ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ ในชีวิตประจำวันก็แพงไปด้วย ไหนจะค่าใช้จ่ายลูกเรียนหนังสืออีก 2 คน ฉะนั้นส่วนไหนที่ลดค่าใช้จ่ายได้ก็ต้องลด"

"คณิต กิจพิพิธ" ผู้จัดการบริษัท สแกน อินเตอร์ จำกัด ในฐานะผู้ประกอบการรับติดตั้งถังก๊าซย่านงามวงศ์วาน เปิดเผยว่า ในช่วงนี้มีโทรศัพท์เป็นร้อยๆ สายโทร. เข้ามาขอติดถังก๊าซทั้งเอ็นจีวีและแอลพีจีมากขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นรถบ้านและ รถแท็กซี่

หรือลูกค้าหลายรายก็เปิดดูข้อมูลใน อินเทอร์เน็ต แล้วก็ขับรถมาติดเอง แต่บางรายก็ต้องผิดหวังกลับไป หรือไม่ก็ต้องรอคิวเป็นเดือนๆ เพราะเราต้องบริการลูกค้าที่โทร.จองคิวล่วงหน้าทางโทรศัพท์ก่อน มองในแง่รายได้ ช่วงนี้ก็ถือว่าดีขึ้น รายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่หลักแสน

แต่อีกมุมหนึ่งผลเสียก็มีคือ ความเสี่ยงเรื่องการดูแลลูกค้า เพราะลูกค้าบางคนไม่เข้าใจ เช่น เมื่อเรารอรับรถมาเพื่อจะติดตั้ง แต่ปรากฏว่ารถลูกค้าไม่สมบูรณ์ แต่เมื่ออธิบายไปแล้วเขาไม่เข้ายอม เราก็ต้องแก้ไขเครื่องยนต์ให้ลูกค้า บางคนไม่ยอม เราก็ต้องเสียเงิน บางคันเราแทบจะขาดทุนสะบั้นหั่นแหลก ดังนั้นก็ต้องชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจก่อน

อีกอย่าง ช่วงนี้แม้งานจะเยอะ รายได้ดี แต่บางครั้งก็ต้องนั่งตบยุง เพราะในแง่หนึ่งเราไม่มีถัง ถังไม่พอ ของขาด บางเดือนลูกค้าสั่งจองติดก๊าซกัน 90 กว่าคัน มีเงินมัดจำให้เราพร้อม แต่เราก็ไม่กล้ารับจอง ก็ต้องบอกให้ลูกค้ารอไปก่อนของจะมา

อย่างไร ก็ตาม ผมคิดว่าแนวโน้มในอนาคต คนใช้รถจะหันมาติดก๊าซกันมากขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันที่แพงสูงขึ้น จนยากที่จะคาดเดา อีกทั้งประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการเติมน้ำมันถึง 3 เท่า

"คณิต" กล่าวว่า ช่วงนี้ลูกค้าส่วนใหญ่จะติดก๊าซแอลพีจี เพราะปัญหาที่เจอคือสถานีเติมก๊าซเอ็นจีวีมีน้อย ลูกค้าก็มองในระยะยาวว่าติดแอลพีจีดีกว่า เพราะเขาไม่อยากไปต่อคิวกับแท็กซี่ แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มมีกลับกัน (นะ) คือ แท็กซี่จะไปเติมแอลพีจี ส่วนเอ็นจีวีก็จะเป็นพวกรถบ้าน

แต่ในอนาคต คนที่อยากติดเอ็นจีวีก็ใช่ว่ารถจะติดเอ็นจีวีได้ทุกรุ่น เพราะก๊าซตัวนี้จะติดไฟได้ต้องใช้อุณหภูมิที่สูง ต้องมี ตัวช่วยติดระเบิด แล้วตัวที่ติดระเบิดก็ไม่ได้ตรงกับสเป็กกับรถทุกรุ่น

"คณิต" เล่าว่า จริงๆ แล้วที่บริษัทรับติดตั้งถังก๊าซมานานแล้ว แต่เป็นอู่เล็กๆ ส่วนใหญ่แท็กซี่มาติดเยอะ รถบ้านก็มีบ้าง แต่ช่วงนี้กระแสติดก๊าซเริ่มบูม คนก็เริ่มบอกต่อกันปากต่อปาก คนที่ไม่คิดจะติดก็มาติด

ถามว่าตลาด ติดก๊าซมีคู่แข่งมั้ย จริงๆ ก็มี (นะ) จะเป็นในลักษณะที่โจมตีกันไปโจมตีกันมา แต่ตอนนี้ก็คงไม่มีเวลาไปโจมตีกัน มีแต่เวลาทำมาหากิน เพราะทุกคนงานก็เยอะ ขนาดถังที่จะติดยังไม่พอติดเลย ผมคิดว่าอู่ทุกอู่ตอนนี้ ทั้งเจ้าของทั้งช่าง ต้องตื่นเช้านอนดึก

แต่ถ้าของหมดเราก็รับเท่าที่ทำได้ เพราะช่างของเราก็ต้องมีการพักผ่อน ไม่งั้นอิดโรย แต่ช่วงนี้ก็เปิดอู่เช้าเร็วกว่าเดิม

พรุ่งนี้แล้วที่ "ยงยุทธ" จะได้ขับขี่อัลติสใหม่ที่มีถังก๊าซเป็นเชื้อเพลิง

น้ำมันแพงป่วนถังเอ็นจีวีขาดตลาดทั่วโลก ไทยลุ้นผุดโรงผลิตบิ๊กบึ้ม

น้ำมันแพงป่วนถังเอ็นจีวีขาดตลาดทั่วโลก ไทยลุ้นผุดโรงผลิตบิ๊กบึ้ม [23 มิ.ย. 51 - 03:43]

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  กระทรวงพลังงานได้เชิญนักลงทุนจากประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นผู้ผลิตถังเอ็นจีวีและระบบติดตั้งรายใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก  มาลงทุนตั้งโรงงานในประเทศไทย  เพื่อแก้ปัญหาถังเอ็นจีวีราคาแพง  และไม่เพียงพอต่อความต้องการ เนื่องจากปัจจุบันหลายๆประเทศมีนโยบายลดการใช้น้ำมัน  จึงสั่งซื้อถังเอ็นจีวีที่มีคุณภาพจากอิตาลีจนโรงงานผลิตไม่ทัน ที่สำคัญทำให้ราคายังปรับเพิ่มสูงกว่าปีก่อนจากถังละ 8,000 บาท มาเป็น 16,000 บาท เมื่อรวมกับอุปกรณ์และระบบติดตั้งมีราคา 50,000-60,000 บาท เบื้องต้นหากมีโรงงานผลิตในไทย เชื่อว่าราคาการติดตั้งเอ็นจีวีในรถยนต์ลดลง 30% หรือลดลง 15,000-18,000 บาทต่อคัน เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าอิตาลี

 

ทั้ง นี้ กระทรวงพลังงานยอมรับว่าจะต้องใช้เวลานานกว่าจะได้ถังเอ็นจีวีเข้ามาบริการ ให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชน เพราะทั่วโลกต่างแย่งกันซื้อ ที่สำคัญแม้จะมีเงินมากก็ไม่สามารถสั่งซื้อได้ทันที แต่ต้องรอคิวรวมถึงรอผู้ผลิต ซึ่งมีไม่กี่ประเทศก็จะจัดสรรถังนำเข้า เบื้องต้นช่วงที่ราคาน้ำมันต่ำกว่าลิตรละ 30 บาท ตัวถังเอ็นจีวีราคาไม่ถึง 10,000 บาท เพราะผู้ใช้รถยนต์ยังสนใจน้อย แต่เมื่อน้ำมันอยู่ที่ 40 บาท ทุกประเทศก็แห่กันซื้อ

 

สำหรับ โรงงานผลิตถังเอ็นจีวีในอิตาลี ได้ทำการสำรวจตลาดความ ต้องการถังเอ็นจีวีของไทย พบว่ามีความสนใจน่าลงทุนเช่นกัน เพราะความต้องการในตลาดสูง   ที่สำคัญรัฐบาลมีนโยบาย สนับสนุนประชาชนหันมาใช้พลังงานทดแทนอย่างอื่น โดยเฉพาะเอ็นจีวีกันมากขึ้น เพื่อลดภาระการนำเข้าน้ำมันที่ปรับตัวสูงอย่างต่อเนื่อง   เบื้อง ต้นแม้ความต้องการของตลาดยังสูง แต่ต่างชาติกำลังศึกษาผลกระทบด้านอื่นที่มีผลต่อธุรกิจ เช่น สภาวะเศรษฐกิจไทย อัตราเงินเฟ้อ และปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งหากมีการลงทุนจริงคาดว่าจะใช้เงินประมาณ 1,000 ล้านบาท

 

ขณะ ที่ผู้ผลิตถังเอ็นจีวีที่ทางการไทยให้ ความสนใจที่จะให้เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตในไทยนั้นมีอยู่หลายชาติ เช่น อิตาลี เกาหลี อาร์เจนตินา และจีน แต่ที่เหมาะสมที่สุดคือ อิตาลีที่ได้มาตรฐานในการผลิตสูงสุดในขณะนี้ โดยล่าสุด  ผู้ บริหารกระทรวงพลังงานได้ไปดูงานในทุกประเทศข้างต้นและมีความเห็นว่าโรงงาน อิตาลีผลิตถังมาตรฐานเป็นที่ยอมรับมากสุดในโลก รวมถึงมีรถยนต์ในประเทศกว่า 50% ได้เปลี่ยนเป็นเอ็นจีวีหมดแล้ว

 

ด้าน นายเมตตา บันเทิงสุข อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กล่าวว่า การส่งเสริมใช้เอ็นจีวียังมีปัญหาหลายอย่าง เช่น ราคาติดตั้งแพง รวมถึงต้องรอคิวในการเติมเอ็นจีวีนานมาก จนทำให้ผู้ใช้รถยนต์ ส่วนหนึ่งหันมาติดตั้งแอลพีจี (ก๊าชหุงต้ม) เพราะค่าติดตั้งต่ำกว่าเอ็นจีวีมาก และเติมสะดวกกว่าด้วย ส่งผลให้ให้อู่รถยนต์หลายแห่งติดตั้งเครื่องยนต์แอลพีจีไม่ทัน จนทำให้เดือน มิ.ย.นี้ไทยมีแผนที่นำเข้าแอลพีจีอีก 40,000 ตัน มูลค่า 36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ฮุนไดลุยโซนาต้า ซีเอ็นจี + ประกอบจากโรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์-ทาทารุกกระบะซีนอนปลายปีนี้

ฮุนไดลุยโซนาต้า ซีเอ็นจี + ประกอบจากโรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์-ทาทารุกกระบะซีนอนปลายปีนี้
แห่ เปิดตัวรถซีเอ็นจีรับน้ำมันแพง ฮุนไดซุ่มเปิดตัวโซนาต้า ซีเอ็นจี เทคโนโลยีเยอรมนี ประกอบที่โรงงานธนบุรี
ประกอบรถยนต์ ค่ายทาทาแอบพัฒนากระบะซีนอน ใช้ซีเอ็นจี 100 % ขายจริงปลายปีนี้ ส่วนจีเอ็มสุดปลื้ม ออพตร้า ซีเอ็น
จี ออร์เดอร์ล้น ต้องรอนานร่วมเดือน

แหล่งข่าวจาก บริษัท ฮุนได มอเตอร์(ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ในเดือนกรกฎาคม ปี 2551
นี้ ฮุนไดมีแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่มาสนองตอบความต้องการของลูกค้าในภาวะน้ำมัน แพง โดยประกอบ ฮุนได โซนาต้า ซี
เอ็นจี ในรูปแบบของโออีเอ็มจากสายการประกอบรถยนต์ที่โรงงานธนบุรีประกอบรถยนต์ จังหวัดสมุทรปราการ และจะกลายเป็นรถ
ยนต์นั่งขนาดใหญ่รายแรกที่ติดต่อระบบก๊าซธรรมชาติหรือซีเอ็น จีรายแรกจากโรงงานประกอบโดยตรง ซึ่งสร้างความมั่นใจ
ให้กับผู้บริโภคมากกว่าการนำรถที่ติดตั้งระบบภายหลัง (Retrofit) โดยบริษัทจะตอกย้ำความมั่นใจในคุณภาพอีกขั้นด้วย
การรับประกันนาน 3 ปี หรือระยะทาง 100,000 กม.

"ปัจจุบัน มีการผลิต ฮุนได โซนาต้า ซีเอ็นจี ที่ประเทศเยอรมนี เราจึงติดต่อกับซัพพลายเออร์ที่นั้นให้มา
ช่วยพัฒนารถยนต์ก๊าซธรรมชาติที่ ประเทศไทย ซึ่งมาลงตัวที่รุ่นโซนาต้า เนื่องจากเป็นรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ มีพื้นที่
กว้างขวาง ห้องสัมภาระหลังเมื่อติดตั้งถังก๊าซซีเอ็นจีแบบแคปซูลแล้วยังมีพื้นที่เพียง พอเก็บถุงกอล์ฟได้ 2-3 ถุง
อย่างไรก็ตาม ราคารถโซนาโต้ ซีเอ็นจี อาจจะแพงขึ้นกว่ารุ่นเบนซินธรรมดาเพียงเล็กน้อย โดยบริษัทยอมรับภาระต้นทุน
ที่เพิ่งขึ้น เพื่อเป็นโปรโมชันดึงดูดใจลูกค้า"

นายอภิเชต สีตกะลิน ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ทาทาในประเทศไทย เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า บริษัทกำลังทดสอบรถกระบะ ทาทา ซีนอน
เครื่องยนต์ซีเอ็นจี รถกระบะคันแรกในประเทศไทย ที่ใช้ก๊าซซีเอ็นจี เป็นเชื้อเพลิง 100% โดยปัจจุบัน ตัวแทนจำหน่าย
ทั่วประเทศ 23 แห่ง พร้อมรับจองกระบะซีนอนซีเอ็นจี แล้ว โดยมีกำหนดการเปิดตัวในช่วงปลายปี 2551 ซึ่งหากลูกค้าไม่
สามารถรอรับรถนานขนาดนั้น เราก็จะเสนอรถกระบะ ทาทา ซีนอน ดีเซล 2,200 ซีซี ซึ่งให้สมรรถนะสูง พร้อมๆกับการประหยัด
น้ำมัน ให้พิจารณาแทน

"รถกระบะ ทาทา ซีนอน ซีเอ็นจี ไม่ใช้ระบบผสมก๊าซกับน้ำมันดีเซล เหมือนที่มีใช้ในปัจจุบัน เพราะทาทาได้
พัฒนาเครื่องยนต์รุ่นใหม่ สำหรับก๊าซซีเอ็นจี 100% โดยเฉพาะ ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ขนาด 2100 ซีซี ใช้อะลูมิเนียม
เป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำให้มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแกร่ง ให้กำลังอัดที่สูงขึ้น ติดตั้งถังก๊าซซีเอ็นจี จำนวน 2 ถัง
ขนาด 70 ลิตรน้ำและขนาด 40 ลิตรน้ำ ติดตั้งระหว่างแชสซีส์กับพื้นกระบะ จึงไม่เกะกะพื้นที่เก็บสัมภาระและมีความ
ปลอดภัยสูง ด้วยวิธีการนี้ ทำให้ซีนอนซีเอ็นจี มีน้ำหนักใกล้เคียงกับรถกระบะซีนอน เครื่องยนต์ดีเซล เพราะไม่ต้อง
แบกรับเครื่องยนต์ดีเซลและถังน้ำมันที่มีน้ำหนักมาก"

แหล่งข่าวจาก บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในปี 2550 เชฟโรเลตได้เปิดตัว ออพตร้า
ซีเอ็นจี เป็นครั้งแรกในปี 2550 โดยตั้งเป้าการขายออพตร้า ซีเอ็นจีไว้ที่ 50 คัน/เดือน แต่เมื่อราคาน้ำมันปรับตัว
สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้ใช้รถหันมาใช้รถซีเอ็นจีกันมากขึ้น ทำให้ยอดขายของรถรุ่นนี้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเป็น
500 คัน/เดือน จนมีปัญหาขาดแคลนอุปกรณ์ ทำให้ลูกค้าต้องรอรถนานประมาณ 1 เดือน

Tuesday, July 8, 2008

โปรตอน-ฮุนได ชิงส่งรถติด NGV ตัดหน้าโตโยต้า

ผู้จัดการรายสัปดาห์ - -โปรตอน-ฮุนได ชิงส่งรถติด NGV ตัดหน้าโตโยต้า -หนีภาวการณ์แข่งขันรุนแรง แบ่งเค้กคนละก้อน โปรตอนกินเก๋งเล็ก-ฮุนไดซิวเก๋งกลาง -ตลาดรถ NGV จากโรงงานยังสดใส เน้นจุดขายมาพร้อมประกัน 3 ปี ลูกค้าออเดอร์เพียบ

Sunday, June 15, 2008

น้ำมันกระฉูดดันยอดใช้ก๊าซพุ่ง “สุวิทย์” บี้ลด สรรพสามิตเอทานอลแจ้งเกิดอี 85

น้ำมันกระฉูดดันยอดใช้ก๊าซพุ่ง "สุวิทย์" บี้ลด สรรพสามิตเอทานอลแจ้งเกิดอี 85

นายเมตตา  บันเทิงสุข  อธิบดี กรมธุรกิจพลังงาน (ธพ.) เปิดเผยว่า ในเดือน มิ.ย.คาดว่าบริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) อาจต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มจาก ต่างประเทศอีกประมาณ 40,000 ตัน ในราคาตันละ 900 เหรียญสหรัฐฯและนำมาจำหน่ายในประเทศโดยที่ ปตท.ต้องรับภาระแทนประชาชนประมาณ 800 ล้านบาท สาเหตุที่ยอดการนำเข้าก๊าซหุงต้มของประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะถูกนำไป ใช้ใน 3 ด้านคือ 1. ใช้ในภาคขนส่ง 2. ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม และ 3. มีการลักลอบนำออกไป ตามแนวชายแดน ซึ่งเป็นปัญหาที่กรมศุลกากรต้อง เข้มงวดกวนขันการลักลอบอย่างหนัก

 

นายเมตตากล่าวว่า สาเหตุที่ก๊าซหุงต้มถูกลักลอบออกไปขายในประเทศเพื่อนบ้านเพราะว่าราคาขายปลีกขนาดถัง 15 กิโลกรัมในไทยอยู่ที่ 290 บาท แต่หากลักลอบออกไปขายในประเทศเพื่อน บ้านจะมีราคาที่ 800 บาทต่อถัง อย่างไรก็ตาม ธพ. ได้ร่วมมือกับกรมศุลกากรตั้งหน่วยเฉพาะกิจสกัดการลักลอบส่งออกก๊าซหุงต้ม ด้วยการใช้มาตรการที่เข้มข้น จึงเชื่อว่าการลักลอบส่งออกจะเริ่มลดลงในระดับหนึ่ง

 

"หาก รัฐบาลประกาศลอยตัวราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มสำหรับภาคขนส่งในเดือน ก.ค.เป็นต้นไป ก็จะทำให้ยอดการใช้ก๊าซหุงต้มแอลพีจีในรถยนต์ ลดลง เพราะรถยนต์ส่วนหนึ่งจะหันไปใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์หรือเอ็นจีวีแทน ซึ่งต้องรอดูว่า รัฐบาลจะลอยตัวราคาก๊าซหุงต้มมากน้อยเพียงใด เพื่อให้เกิดส่วนต่างราคาให้คนหันไปใช้เอ็นจีวี โดย ขณะนี้ราคาเอ็นจีวีอยู่ที่ลิตรละ 8.50 บาท และก๊าซหุงต้มอยู่ที่ลิตรละ 10 บาท"

 

นาย ดิเรก ลาวัณย์ศิริ ประธานกรรมการกำกับ กิจการพลังงาน (เรกกูเลเตอร์) เปิดเผยถึงการพิจารณาค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (ค่าเอฟที) งวดใหม่ที่จะใช้ในเดือน มิ.ย.-ก.ย.นี้ว่า เรกกูเลเตอร์มีมติเห็นชอบการเรียกเก็บค่าเอฟทีอยู่ที่ 62.85 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลงจากงวดก่อนหน้า 6.01 สต./หน่วย ส่งผลให้ ค่าไฟฟ้าที่เรียกเก็บจากประชาชนรอบใหม่เฉลี่ยอยู่ที่ 2.88 บาทต่อหน่วย ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับประชาชน เนื่องจากค่าไฟฟ้าถือเป็นส่วนหนึ่งของ ต้นทุนหลายชนิด ทั้งภาคการผลิต อุตสาหกรรมและ สินค้าเป็นการช่วยบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน

 

ขณะ เดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) ได้แจ้งว่าผู้ค้าน้ำมันได้แจ้งปรับขึ้นราคาขายปลีกน้ำมันมีผลตั้งแต่วันที่ 13 มิ.ย.โดยผู้ค้ารายอื่นๆ ยกเว้น ปตท. และบางจากได้ปรับขึ้นราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมัน เบนซิน 50 สตางค์/ลิตร และดีเซล 80 สต./ลิตร ส่วน ปตท.และบางจากปรับขึ้นเฉพาะดีเซล 80 สต./ลิตร ส่งผลให้ราคาเบนซิน 95 ของเชลล์สูงถึง 42.39-43.39 บาท/ลิตร เอสโซ่ 42.09 บาท/ลิตร คาลเท็กซ์ 41.59 บาท/ลิตร ส่วนของ ปตท.และบางจากอยู่ที่ 41.59 บาท/ลิตร

 

ส่วนเบนซิน 91 รายอื่นๆที่ 40.99 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 95 ที่ 37.39 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 ที่ 36.59 บาท/ลิตร โดย ปตท.และบางจากขาย ถูกกว่ารายอื่น 50 สต./ลิตร ส่วนน้ำมันดีเซลรายอื่นๆอยู่ที่ 42.14 บาท/ลิตร ปตท.และบางจากถูกกว่า 80 สต./ลิตร อยู่ที่ 41.34 บาท/ลิตร ทั้งนี้ แม้จะปรับ ขึ้นราคารอบนี้แล้วแต่ปรากฏว่าค่าการตลาดน้ำมันของผู้ค่าน้ำมันก็ยังต่ำอยู่ ทำให้มีแนวโน้มว่าในระหว่างวันที่ 14-15 มิ.ย. นี้ผู้ค้าน้ำมันอาจปรับขึ้น ราคาขายปลีกเบนซินและดีเซลขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

 

นายสุวิทย์ คุณกิตติ รองนายกฯและ รมว. อุตสาหกรรม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการใช้น้ำมันเอทานอล 85 หรืออี 85 ตามมติ ครม.ว่า ที่ประชุมยังไม่ได้ข้อสรุปเพราะมีรายละเอียดหลายอย่างที่ต้องขอความเห็นชอบ จากรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ทั้งจากกระทรวงพลังงานและกระทรวงการคลังในเรื่อง ของประเภทชิ้นส่วนยานยนต์ที่เกี่ยวข้องกับอี 85 รวมถึงอัตราภาษีสรรพสามิตของเอทานอล ซึ่งทั้งหมดรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทั้ง 3 กระทรวง ควร ต้องตั้งโต๊ะหารือร่วมกันอย่างเป็นทางการเพื่อกำหนดนโยบายให้เกิดข้อยุติที่ชัดเจนเพื่อทำให้การส่งเสริมอี 85 เดินหน้าต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

"เรื่องอัตราภาษีสรรพสามิตสำหรับเอทานอล ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่จะช่วยดึงดูดให้คนหันมาใช้อี 85 ได้มากขึ้น แต่ปัจจุบันโครงสร้างภาษีน้ำมันอี 10, อี 20 หรืออี 85 ยังมีความลักหลั่นกันมาก หากกรมสรรพสามิตปรับภาษีอี 85 ให้เท่ากับอี 10 หรือคิดเฉพาะภาษีน้ำมันอย่างเดียวจะทำให้มีส่วนต่างเพิ่มขึ้นถึง 2.02 บาทต่อลิตร ก็จะยิ่งช่วยสร้างแรงดึงดูดให้มากขึ้น".

Saturday, June 14, 2008

ถังแอลพีจีต้องมีตรามอก. ขนส่งเตือนรถติดตั้ง ก๊าซ-พร้อมชื่อผู้ผลิต-วันทดสอบถัง

ถังแอลพีจีต้องมีตรามอก. ขนส่งเตือนรถติดตั้ง ก๊าซ-พร้อมชื่อผู้ผลิต-วันทดสอบถัง

นายชัยรัตน์ สงวนชื่อ รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ปัจจุบัน มีเจ้าของรถจำนวนมาก นำรถไปติดตั้งอุปกรณ์สำหรับใช้ก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) เป็นเชื้อเพลิง ทำให้ปริมาณถังก๊าซ LPG มีไม่เพียงพอ ผู้ติดตั้งบางรายจึงได้นำถังเก่าที่ไม่ได้มาตรฐานมาติดตั้งแทน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อเจ้าของรถหรือผู้ใช้รถใช้ถนนอื่นได้ เพื่อเป็นการป้องกันปัญหาดังกล่าว จึงขอให้เจ้าของรถตรวจสอบถังที่นำมาติดตั้งว่าได้ มาตรฐานหรือไม่ โดยถังบรรจุก๊าซ LPG สำหรับติดตั้งในรถยนต์นั้น จะต้องผลิตจากวัสดุที่ได้มาตรฐานและผ่านการรับรองจากสำนักงานมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม (สมอ.) โดยบนตัวถังจะต้องมีเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หมายเลขลำดับถัง (Serial Number) วัสดุที่ใช้ผลิต น้ำหนักถัง ขนาดความจุ และวันเดือนปีที่ทดสอบถังกำกับอยู่ ซึ่งเจ้าของรถควรตรวจสอบก่อนให้ผู้ติดตั้งนำไปติดตั้งในรถยนต์ โดยหลังจากที่ติดตั้งอุปกรณ์เรียบร้อยแล้ว เจ้าของรถจะต้องนำรถเข้ารับการตรวจและทดสอบความปลอดภัย จากผู้ตรวจและทดสอบที่ได้รับ ความเห็นชอบจากกรมการขนส่งทางบก และไปดำเนินการแจ้งเปลี่ยนชนิดเชื้อเพลิงยังสำนักงานขนส่ง ที่รถจดทะเบียนไว้ด้วย

รักษาการอธิบดีกรมการขนส่งทางบก ยังได้ฝากเตือนไปยังเจ้าของรถหรืออู่ติดตั้ง ที่นำถังบรรจุก๊าซหุงต้มที่ใช้ในครัวเรือนมาติดตั้งในรถยนต์โดยรู้เท่าไม่ ถึงการณ์ หรือเพื่อต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายว่า การกระทำดังกล่าวอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ เนื่องจากถังที่ใช้บรรจุก๊าซหุงต้มไม่ได้ผลิตมาสำหรับใช้ติดตั้งในรถยนต์ ซึ่งหากนำไปติดตั้งอาจเกิดการรั่วไหลหรือระเบิดขึ้นจนเป็นอันตรายได้.

NGV เอื้ออาทร ราคาอยู่ที่ 3 หมื่นกว่าบาท ถือว่ายังไม่บรรลุเป้าหมาย จึงให้เจรจา กับผู้ผลิตถังก๊าซจากประเทศอิตาลีและอินเดียต่อไป

"เลี้ยบ" ไอเดียกระฉูด

จาก ปัญหาราคาน้ำมันดิบใน ตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นมา อย่างต่อเนื่อง ในขณะนี้ได้ส่ง ผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชน ทำให้รัฐบาลจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเร่ง จัดทำมาตรการทางด้านการคลังมาบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้น

สำหรับราย ละเอียดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในชุดนี้ น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า มาตรการชุดนี้จะเน้นไปที่เรื่องของการเพิ่มรายได้และขยายโอกาสให้กับประชาชน ได้ช่องทางในการทำมาหากินเพิ่มขึ้น ซึ่งจะไปเสริมกับมาตรการลดค่าใช้จ่าย โดยการสนับสนุนให้ประชาชนหันไปใช้พลังงานทดแทนทั้งอี 85 และ NGV

ส่วน การเพิ่มรายได้ กระทรวงการคลังกำลังศึกษาอยู่หลายโครงการ เช่น 1)โครงการจัดหาที่ดินทำกินให้กับประชาชน ในส่วนของกระทรวงการคลังได้สั่งการให้กรมธนารักษ์ไปคัดเลือกที่ราชพัสดุที่ มีทำเลดีๆ มาทำเป็นสถานที่จัดจำหน่ายสินค้า โอท็อปโดยจะคิดค่าเช่าในราคาถูก และให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทุกแห่งเป็นผู้คัดเลือกลูกค้า SMEs นำสินค้ามาขายในสถานที่ที่กระทรวงการคลังจัดเตรียมไว้ให้ ซึ่งในเบื้องต้นได้รับรายงานจากกรมธนารักษ์ว่ามีอยู่ 3 แปลง ได้แก่ อาคารบริษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บบส.) ที่ปิดกิจการและส่งมอบพื้นที่คืนแล้ว, ที่ราชพัสดุของกรมชลประทานซึ่งปัจจุบันเป็นตลาดสด และอีกแห่งจะอยู่แถวสมุทรปราการ

และในวันพุธที่ 11 มิ.ย.นี้ น.พ.สุรพงษ์จะเรียกผู้บริหารสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทุกแห่งมาหารือใน รายละเอียดและเตรียมการจัดงานมหกรรมขายสินค้าราคาถูกที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ในระหว่างวันที่ 17-20 ก.ค.เป็นโครงการนำร่อง

นอกจาก นี้ น.พ.สุรพงษ์ยังได้ทำหนังสือถึงการทางพิเศษแห่งประเทศไทย เพื่อขอใช้พื้นที่ใต้ทางด่วนนำไปให้ประชาชนได้เข้าไปขายของ แต่ที่อยากทำมากที่สุดคือร้านค้าเล็กๆ คีออสก์ (kiosk) ที่อยู่ตาม ท้องถนน สี่แยก สถานที่ท่องเที่ยว และสวนสาธารณะ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่ทราบว่าสาเหตุใดร้านค้าเล็กเหล่านี้มีปัญหาอะไรถึงได้สูญ หายไปจากระบบ

2)โครงการเพิ่มรายได้ให้กับข้าราชการครู ในวันอังคารที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีการหารือกับนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ในรายละเอียดของโครงการนี้ ในหลักการก็จะให้ครูเปิดสอนหลักสูตรวิชาชีพให้กับนักเรียนและประชาชนทั่วไป นอกเวลาราชการ อาทิ หลักสูตรภาษาอังกฤษ, ทำอาหาร, นวดแผนไทย เป็นต้น ซึ่งครูเองก็จะมีรายได้ เพิ่มขึ้น ส่วนผู้เข้ารับการอบรมจะมีโอกาสออกไปหารายได้เพิ่มขึ้นหลังจากที่ผ่าน การอบรม

ส่วนกรมอาชีวศึกษาจะมีโครงการ ฟิท อิท เซ็นเตอร์ โดยจะให้โรงเรียน อาชีวศึกษาในสังกัดออกไปเปิดศูนย์บริการประชาชนตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อปรับแต่งเครื่องยนต์ในรถยนต์ให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์และประหยัดพลังงาน

และ ในระหว่างที่มาตรการในการเพิ่มรายได้และมาตรการชะลอรายจ่ายยังไม่ได้มีการ ดำเนินการอย่างเต็มที่นั้น ในระหว่างนี้จะต้องมีมาตรการมาช่วยเหลือกลุ่มคนจน หรือผู้ที่มีรายได้น้อย โดยการแจกเป็นคูปองเพื่อให้ประชาชนนำไปใช้ในการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งในขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษา คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ก.ค.นี้

ส่วนมาตรการสนับสนุนให้ประชาชน หันไปใช้พลังงานทางเลือก โดยเฉพาะโครงการติดตั้งก๊าซ NGV เอื้ออาทร ขณะนี้ได้มีการเร่งรัดกันอย่างเต็มที่ ล่าสุดทาง ปตท.ได้มีการต่อรองราคากับบริษัทผู้ผลิตถังก๊าซ NGV ในต่างประเทศ และเมื่อนำมารวมกับอุปกรณ์การติดตั้งอื่นๆ แล้วมีราคาอยู่ที่ 3 หมื่นกว่าบาท ถือว่ายังไม่บรรลุเป้าหมาย จึงให้เจรจา กับผู้ผลิตถังก๊าซจากประเทศอิตาลีและอินเดียต่อไป

Wednesday, June 11, 2008

โตโยต้าประกาศนิวโปรเจ็กต์ขึ้นไลน์ผลิต'คัมรี่ ไฮบริด' และโคโรลล่าCNG โรงงานในไทยภายในปีนี้

โต โยต้าลั่นครองผู้นำตลาดรถนั่งขนาดกลาง ประกาศนิวโปรเจ็กต์ขึ้นไลน์ผลิต'คัมรี่ ไฮบริด' และโคโรลล่าCNG โรงงานในไทยภายในปีนี้ ส่วนอี85ขอดูตลาด2ปีว่าเวิร์คหรือไม่

 

มิทซึฮิโระ โซโนดะ นายใหญ่ โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ประกาศแผนการผลิตรถยนต์ไฮบริดในไทย พร้อมเปิดเผยถึงความก้าวหน้าในการพัฒนารถยนต์ซีเอ็นจี ที่จะแนะนำสู่ตลาดภายในปีนี้ ที่ โรงแรมคอนราด กรุงเทพฯ

นายมิทซึฮิโระ โซโนดะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเเผยว่า  โตโยต้ามีความมุ่งมั่นร่วมกันเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมและการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งยึดถือเป็นปรัชญาของโตโยต้าในการสร้างสรรค์และพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ที่ ล้ำสมัย ซึ่งแผนงานขั้นต่อไปของการผลิตรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมหรือ Ultimate eco-friendly vehicle คือการประกอบรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทยในรถยนต์นั่งคัมรี(รถยนต์ที่ใช้พลังงาน ผสมระหว่างน้ำมันกับไฟฟ้า)  ซึ่งเรามีความเชื่อมั่นว่า คัมรี ไฮบริดใหม่นี้  จะทำให้โตโยต้ารักษาความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์นั่งระดับกลาง และนำประโยชน์ให้กับลูกค้าชาวไทย ในด้านการใช้รถยนต์ที่สามารถประหยัดน้ำมันกว่าเครื่องยนต์ทั่วไป โดยใช้ โรงงานประกอบรถยนต์ในโรงงานเกตต์เวย์ที่ฉะเชิงเทรา นับเป็นโรงงานแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประกอบรถยนต์คัมรีไฮบริด

ส่วนการผลิตมีกำลังการผลิตเบื้องต้น 9,000 คันต่อปี จะเริ่มผลิตในปี 2552 ส่วนราคายังไม่สามารถกำหนดได้เนื่องจากต้องคำนวณต้นทุนของแบตเตอรี่และ มอเตอร์ที่จะนำมาประกอบก่อน เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับรถประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สำหรับความก้าวหน้าในการประกอบรถยนต์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติ ซีเอ็นจี นั้น นายโซโนดะ  กล่าวว่า"โตโยต้าขอขอบคุณ TMAP-EM ที่ได้พัฒนาและทดสอบรถยนต์ที่ใช้พลังงาน ซีเอ็นจี ในโคโรลล่า โดยได้ทำการพัฒนาให้เครื่องยนต์มีความเหมาะสมสำหรับเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบส่งเชื้อเพลิงและถังเชื้อเพลิง ซึ่งทั้งหมดนี้จะติดตั้งจากโรงงานเกตเวย์โดยตรง โดยเรามั่นใจว่า รถยนต์ซีเอ็นจีของโตโยต้า มีความทนทาน ปลอดภัย เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และช่วยลดการใช้น้ำมันเชื้อเพลิง เรามั่นใจในคุณภาพของรถยนต์รุ่นนี้ โดยมีระยะเวลารับประกัน 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร และคาดว่าจะแนะนำเข้าสู่ตลาดภายในปีนี้"
 
"รถยนต์ไฮบริดนั้น เป็นเทคโนโลยียานยนต์ระดับสูง   ที่ให้ทั้งความยอดเยี่ยมในด้านสมรรถนะการขับขี่ ลดการใช้น้ำมันและมีมลพิษในไอเสียต่ำกว่าเครื่องยนต์ทั่วไป โดยเครื่องยนต์ไฮบริดนั้นสามารถช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เรามีความมั่นใจว่า คัมรี ไฮบริด จะเป็นที่ชื่นชอบและได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทยอีกรุ่นหนึ่ง " นายโซโนดะ กล่าว และว่า

ส่วนเรื่องการที่รัฐบาลสนับสนุนน้ำมันอี 85 ทางโตโยต้าขอเวลาพิจารณาขยายสายการผลิตระยะเวลาประมาณ 2 ปี และจะดูว่าตลาดมีความต้องการมากน้อยแค่ไหน ทั้งนี้ราคาน้ำมันอี 85 ควรถูกกว่าน้ำมันเบนซินปกติลิตรละ 15-20 บาท เพื่อจูงใจให้คนหันมาใช้

ด้านนายชิเกรุ  มูราอิ  กรรมการผู้จัดการ บริษัท   สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทฯมีแผนเพิ่มการลงทุนของบริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด ในการผลิตเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล ตอบสนองความต้องการของตลาดโลกในโครงการไอเอ็มวี มูลค่าการลงทุนกว่า 5,400 ล้านบาท

"การขยายการลงทุนในครั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการเครื่องยนต์ดีเซลของตลาดรถยนต์ทั้งในประเทศและต่าง ประเทศ ที่คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างมาก โดยคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2553 นั้น จะมีความต้องการเครื่องยนต์ดีเซลสูงถึง 300,000 เครื่อง การขยายการลงทุนในครั้งนี้จะทำให้ บริษัท สยามโตโยต้า อุตสาหกรรม จำกัด มีความสามารถในการผลิตเครื่องยนต์ดีเซลจาก 200,000 เครื่อง เป็น 350,000 เครื่อง หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 75  และมีการจ้างงานเพิ่มเติมอีก 700 คน จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 2,300 คน" นายมูราอิกล่าว

สำหรับมูลค่าการลงทุนของบริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัดในครั้งนี้ เป็นจำนวนเงินสูงถึงกว่า 5,400 ล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่ส่วนของโรงงานที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะนครจังหวัดชลบุรี คาดว่า    บริษัท    สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด จะสามารถเริ่มการผลิตเครื่องยนต์ในส่วนของโรงงานใหม่นี้ได้ภายในต้นปี 2553 และขอขอบคุณในความร่วมมืออย่างแข็งขันจากบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ เอเชีย แปซิฟิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ แมนูแเฟคเจอ-ริ่ง จำกัด (TMAP-EM) ในการสนับสนุนการลงทุนครั้งใหม่นี้

บริษัท สยามโตโยต้าอุตสาหกรรม จำกัด เป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น และบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด มหาชน ดำเนินธุรกิจผลิตเครื่องยนต์ดีเซล เบนซิน และชิ้นส่วนเครื่องยนต์  เพื่อตอบสนองความต้องการทั้งในประเทศและส่งออก โดยเปิดดำเนินการเมื่อปี พ.ศ. 2530    มีเงินทุนจดทะเบียน 850 ล้านบาท

ทาทาบุกกระบะ CNG ปลายปี 51 cng 2 ถัง 70+40 L 2100 cc น้ำหนักน้อยลง 70 kg. เครื่อง Aluminium

ทาทาบุกกระบะ CNG ปลายปี + ส้มหล่นคนแห่สนเครื่องดีเซลเล็ก-ประธานเอ็กซ์โปชี้รถประหยัดมาแรง
ทา ทา ส้มหล่น ดีเซลแพง คนแห่ใช้กระบะเครื่องยนต์เล็ก ชี้ ซีนอน เครื่อง 2.2 ลิตร DICOR ให้แรงบิดจัดจ้าน ส่วนปลายปี ส่งกระบะ CNG 100% เครื่องยนต์ใหม่ 2.1 ลิตรน้ำหนักเบา รุกตลาด ประธานมอเตอร์เอ็กซ์โปชี้คนแห่ซื้อรถราคาถูกและรถเชื้อเพลิงใหม่



นายอภิเชต สีตกะลิน ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ทาทา มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

ผู้จัดจำหน่ายรถยนต์ทาทาในประเทศไทย เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นในตลาดโลก ทำให้ประชาชนหันมาซื้อรถที่ประหยัดพลังงาน และรถพลังงานทางเลือกใหม่มากขึ้น ซึ่งตรงกับการพัฒนารถยนต์ใหม่ของทาทาพอดี ไม่ว่าจะเป็นรถกระบะทาทา ซีนอน ที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2200 ซีซี ซึ่งมีความจุกระบอกสูบน้อยกว่ารถกระบะทั่วไปในท้องตลาดที่ใช้เครื่องยนต์ ขนาดใหญ่ขนาด 3000 ซีซี และขนาด 2500 ซีซี และในช่วงปลายปี ทาทาจะเปิดรถกระบะซีนอน รุ่นใหม่ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติอัดหรือก๊าซCNG 100% ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง เนื่องจากก๊าซ CNG มีราคาเพียง 8.50 บาท/กก. ซึ่งนับว่าถูกกว่าน้ำมันดีเซลมาก



ตั้งแต่ ทาทา เริ่มต้นพัฒนารถกระบะขนาด 1 ตัน เพื่อจำหน่ายในประเทศไทย ก็ได้มุ่งเป้าพัฒนารถกระบะที่สามารถใช้พลังงานได้อย่างหมดจด วิวัฒนาการของรถกระบะที่ผ่านมา ไทยจะใช้รถกระบะขนาดเครื่องยนต์แค่ 2200 ซีซี แต่เนื่องจากเครื่องรุ่นเดิมจะปล่อยมลพิษในไอเสียค่อนข้างมาก จึงต้องการพัฒนาให้มีความจุกระบอกสูบมากขึ้น เป็น 2500 ซีซี และ 3000 ซีซี แต่เมื่อมีการนำระบบคอมมอนเรลมาใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลยุคใหม่ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ เครื่องยนต์ขนาดใหญ่ที่มีกำลังเกินความต้องการอีกต่อไป



"รถกระบะที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน ไม่จำเป็นต้องมีแรงม้าสูงๆ รถกระบะต้องการแค่แรงบิดจัดๆ ระดับ 320 นิวตัน-เมตร ซึ่งทาทาก็ได้พัฒนารถกระบะ ซีนอน ด้วยเครื่องยนต์ขนาด 2200 ซีซี คอมมอนเรล VVT DICOR ที่ให้สมรรถนะสูง แม้จะมีความจุกระบอกสูบน้อยกว่ารถรุ่นอื่นๆในท้องตลาด ที่ความเร็ว 100 กม./ชม. ใช้รอบเครื่องเพียงแค่ 2,000 รอบ/นาทีเท่านั้น จึงประหยัดน้ำมันมาก ซึ่งตรงกับแนวทางของทาทาที่มองว่า รถเพื่อการพาณิชย์จะต้องมีค่าใช้จ่ายต่ำที่สุดทั้งด้านเชื้อเพลิง ความทนทานและการบำรุงรักษา โดยขณะนี้ บริษัทได้ส่งมอบรถให้กับตัวแทนจำหน่ายและลูกค้าไปแล้ว และคาดว่าจะมียอดขายรวมจนถึงสิ้นปีที่ 5,000 คัน"



นายอภิเชต กล่าวต่อไปว่า นอกจากนี้ ทาทายังอยู่ระหว่างการพัฒนาและทดสอบรถกระบะซีนอน เครื่องยนต์ CNG ซึ่งเคยนำมาจัดแสดงในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 29 เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยรถคันนี้จะเป็นรถกระบะคันแรกในประเทศไทย ที่ใช้ก๊าซ CNG

เป็นเชื้อเพลิง 100% ไม่ใช้ระบบผสมก๊าซ CNG กับน้ำมันดีเซล เหมือนที่มีใช้ในปัจจุบัน โดยซีนอน CNG ไม่ต้องใช้น้ำมันดีเซลในระบบเลย เพราะทาทาพัฒนาเครื่องยนต์รุ่นใหม่ สำหรับก๊าซ CNG โดยเฉพาะ เครื่องยนต์ขนาด 2100 ซีซี ใช้อะลูมิเนียมเป็นส่วนประกอบสำคัญ ทำให้มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแกร่ง ให้กำลังอัดที่สูงขึ้น อีกทั้งก๊าซ CNG มีค่าออกเทนสูงกว่าน้ำมันดีเซล จึงให้ค่าประสิทธิภาพความร้อนสูง เผาไหม้หมดจด ปล่อยมลพิษไอเสียน้อย



นอกจากนี้ทาทายังออกแบบถังเชื้อเพลิงใหม่ โดยตัดถังน้ำมันดีเซลออกไปเนื่องจากไม่มีความจำเป็นต้องใช้ และติดตั้งถังก๊าซ CNG จำนวน 2 ถัง ขนาด 70 ลิตรน้ำและขนาด 40 ลิตรน้ำ ระหว่างแชสซีส์กับพื้นกระบะ จึงไม่เกะกะพื้นที่เก็บสัมภาระและมีความปลอดภัยสูง ด้วยวิธีการนี้ ทำให้ซีนอน CNG มีน้ำหนักใกล้เคียงกับรถกระบะซีนอน เครื่องยนต์ดีเซล เพราะไม่ต้องแบกรับเครื่องยนต์ดีเซลที่มีน้ำหนักมาก ไม่ต้องแบกถังน้ำมันที่ไม่จำเป็นต้องใช้ ซึ่งแตกต่างการนำรถกระบะทั่วไปมาดัดแปลงให้ใช้เชื้อเพลิง ระบบผสมก๊าซ CNGกับน้ำมันดีเซล ที่มีน้ำหนักมากกว่าเดิมประมาณ 70-80 กก.



"ปัจจุบันตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ 23 แห่ง พร้อมรับจองกระบะซีนอน CNG แล้ว ซึ่งแจ้งกับลูกค้าว่า จะเปิดตัวในช่วงปลายปี 2551 ซึ่งหากลูกค้าไม่สามารถรอรับรถนานขนาดนั้น เราก็จะเสนอรถกระบะ ทาทา ซีนอน ดีเซล 2200 ซีซี ซึ่งให้สมรรถนะสูง พร้อมๆกับการประหยัดน้ำมัน ให้พิจารณาแทน" นายอภิเชต กล่าวสรุป



นายขวัญชัย ปภัสร์พงษ์ ประธาน บริษัท สื่อสากล จำกัด และประธานจัดงาน "มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 25" หรือไทยแลนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์เอ็กซ์โป 2008 เปิดเผยว่า น้ำมันแพงทำให้พฤติกรรมของลูกค้าชาวไทยเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่นิยมซื้อรถกระบะกำลังแรง เครื่องยนต์ดีเซลขนาดใหญ่ 3000-3200 ซีซี ก็เริ่มเปลี่ยนมาใช้กระบะเครื่องยนต์ 2500 ซีซี หรือเครื่องยนต์ขนาด 2200 ซีซี ด้วยเหตุผลต้องการเครื่องยนต์ที่ประหยัดน้ำมันกว่าเดิม



"ในงานมหกรรมยานยนต์ครั้งที่ 25 ช่วงปลายปีนี้ จะใช้งบจัดงานกว่า 120 ล้านบาท และน่าจะมียอดจองรถไม่น้อยกว่า 17,000 คัน โดยมีผู้ผลิตรถยนต์ร่วมงานไม่น้อยกว่า 35 ราย ในจำนวนนี้จะเป็นค่ายรถยนต์รายใหม่ที่สนใจบุกตลาดรถยนต์ไทย 3 ราย คาดว่ารถยนต์ที่จะได้รับความสนใจจากผู้เข้าชมงานมากที่สุดคือ รถยนต์ราคาประหยัด และรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงทางเลือกใหม่ อย่างรถยนต์CNG รถยนต์ที่ใช้แก๊สโซฮอล์ อี 85"

เก๋ง"อัลติส-ทีด้า"เอ็นจีวีพุ่งกระฉูด เอเย่นต์พลิกเกมแก้ตลาดฝืดจับรถใหม่ติดก๊าซสำเร็จรูป

เก๋ง"อัลติส-ทีด้า"เอ็นจีวีพุ่งกระฉูด เอเย่นต์พลิกเกมแก้ตลาดฝืดจับรถใหม่ติดก๊าซสำเร็จรูป

พิษน้ำมันแพงฟาดหางฉุดตลาดรถจืดสนิท ตัวแทนขายรถพลิกตำราแก้เกม เสนอเงื่อนไขพิเศษติดตั้ง "เอ็นจีวี" หรือ "แอลพีจี" สำเร็จรูปตั้งขายทั้งในและนอกโชว์รูม พร้อมสร้างความมั่นใจลูกค้าระบุยังให้การคุ้มครองแต่ย้ายจากบริษัทแม่มาเป็น ดีลเลอร์แทน โตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน เผยเปิดทางให้ตัวแทนจำหน�ายทำได้เต็มที่แต่ต้องดูแลลูกค้าใกล้ชิด พี่เบิ้ม "โตโยต้า" ระบุชัดลุยขึ้นไลน์ซีเอ็นจี พร้อมส่งลงตลาดไตรมาสที่ 3 ประเดิม "ลิโม" ก่อนขยายไปโปรดักต์ตัวอื่น "ส.ศิริแสง" ฟุ้ง 5 เดือนติดตั้ง "เอ็นจีวี" ไปแล้วกว่า 1,000 คัน

แหล่ง ข่าวตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้า เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ในช่วงที่วิกฤตน้ำมันแพงเช่นนี้ การขายรถต้องใช้กลยุทธ์ทางการตลาดเข้ามาช่วย เยอะมาก โดยเฉพาะช่วงที่ผ่านมามีลูกค้า ที่ต้องการซื้อรถยนต์ติดก๊าซเอ็นจีวีเข้ามาติดต่อเป็นจำนวนมาก ทางตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้าหลายรายจึงตอบรับความต้องการของลูกค้าด้วยการ นำรถยนต์โตโยต้าอัลติสใหม่ไปติดตั้งก๊าซเอ็นจีวี จากบริษัทผู้ติดตั้งภายนอก แล้วนำมาจำหน่ายให้กับลูกค้าที่มีความต้องการโดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นความต้องการของบริษัทเอกชน หน่วยงานต่างๆ รองลงมาเป็นกลุ่มลูกค้าประชาชนทั่วไป

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า สำหรับการนำรถยนต์ใหม่ที่ไปติดตั้งถังก๊าซเอ็นจีวีนั้น ถือว่าในส่วนของเครื่องยนต์และระบบที่เกี่ยวข้องกับเชื้อเพลิง จะสิ้นสุดการรับประกันจากทางบริษัทแม่ (โตโยต้ามอเตอร์ ประเทศไทย) ซึ่งมีการรับประกันสำหรับรถยนต์ใหม่ในระยะเวลา 3 ปี หรือ 1 แสนกิโลเมตร ดังนั้นถ้ามีการนำไปดัดแปลงส่วนหนึ่งส่วนใดก็ตาม การรับประกันนี้จะสิ้นสุดทันที แต่ในกรณีนี้ทางบริษัทผู้ติดตั้งถังก๊าซเอ็นจีวีจะเป็นผู้เข้ามาให้การ รับประกันแทน ซึ่งทางตัวแทนจำหน่ายต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ลูกค้าที่ซื้อรถเข้าใจ

" ช่วง 2-3 เดือนมานี้มีลูกค้าถามเรื่องรถอัลติสใหม่ที่ติดตั้งเอ็นจีวีสำเร็จรูปเยอะ มาก เราเองก็เลยต้องจัดเตรียมรถประเภทนี้ไว้รองรับ ซึ่งถ้ามีลูกค้าสนใจก็พร้อมจะนำเสนอให้ทันที แต่ทุกอย่างต้องอธิบายกันชัดเจนโดยเฉพาะการรับประกัน ถ้าลูกค้ารับได้เราก็จัดหาให้ เพราะเงื่อนไขจาก โตโยต้าระบุชัดเจนว่า การรับประกันจะสิ้นสุดเฉพาะส่วนที่นำไปดัดแปลงเท่านั้น แต่ถ้าเป็นส่วนอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเครื่องยนต์หรือระบบเชื้อเพลิง ถือว่ายังได้การรับประกันเช่นเดิม"

ผู้สื่อข่าวสำรวจดีลเลอร์ขายรถ ยนต์หลายยี่ห้อทั้งฮอนด้า นิสสัน มิตซูบิชิในเขต กทม. ปริมณฑล พบว่ามีมากกว่า 50 แห่งที่เลือกทำตลาดแนวนี้ นอกจากนี้ยังขยาย ช่องทางการขาย จากเดิมที่วางขายภายในโชว์รูมอย่างเดียว ตอนนี้เอารถตัวอย่างไปจัดโชว์ตามศูนย์การค้าต่างๆ โดยเฉพาะห้างสรรพสินค้าที่มีกลุ่มลูกค้าคนชั้นกลางและดิสเคานต์สโตร์ทั่วไป

แหล่ง ข่าวตัวแทนจำหน่ายรถยนต์โตโยต้ากล่าวเพิ่มเติมว่า อย่างไรก็ตามในช่วงปลายปีนี้ทางบริษัทโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย ก็มีแผนที่จะเปิดตัวรถอัลติสใหม่ที่ใช้เชื้อเพลิงเอ็นจีวีออกสู่ตลาด โดยจะเป็นรุ่นลิโมซึ่งเจาะกลุ่มแท็กซี่และลูกค้า ฟลีตก่อน ซึ่งรถยนต์รุ่นนี้เป็นการผลิตจากโรงงานของโตโยต้าโดยตรง ได้รับการรับประกันทุกอย่างจากทางบริษัทแม่

นายสาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวยอมรับกับ "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันมีตัวแทนจำหน่ายของฟอร์ดประมาณ 3-4 ราย ที่เปิดให้บริการรับติดตั้งก๊าซ ทั้งเอ็นจีวี และแอลพีจี ด้วยเช่นกัน แต่รูปแบบของการดำเนินธุรกิจจะแยกออกไปในลักษณะของการจัดตั้งเป็นบริษัทขึ้น มาอีก 1 แห่ง เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายและติดตั้งให้กับรถยนต์เก่าโดยตรง และใช้พื้นที่บริเวณเดียวกับศูนย์บริการ

แต่สำหรับฟอร์ดนั้น ขอยืนยันว่าไม่มีนโยบายในเรื่องดังกล่าวอย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทมองว่า การรับติดตั้งก๊าซนอกไลน์ประกอบไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม น่าจะมีมาตรฐานไม่เท่ากัน

ขณะที่ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฟอร์ดรายหนึ่ง กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้รับติดตั้งก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจี ให้กับลูกค้าจริง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มรถยนต์เก่า แต่ในส่วนรถใหม่นั้นหากลูกค้าต้องการติดตั้งบริษัทก็พร้อมให้บริการ แต่ในส่วนของวอร์แรนตีและการรับประกันเครื่องยนต์จะหมดไป ส่วนอัตราค่าติดตั้งนั้นสำหรับเอ็นจีวีจะมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 63,000 บาท แอลพีจีราคา 42,000 บาท บริษัทจะให้การรับประกันเป็นระยะเวลา 2 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร

นายวิชัย อมตะกุลชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามกลการ เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์นิสสันรายใหญ่ กล่าวว่า เนื่องจากสถานการณ์และแนวโน้มด้านพลังงานที่มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับความต้องการใช้สำหรับพลังงานทดแทนที่มีมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทตัดสินใจแตกไลน์ธุรกิจหันมารับติดตั้งชุดอุปกรณ์ก๊าซเอ็นจีวี และแอลพีจีให้กับรถยนต์นิสสันอาทิ นิสสันทีด้า

ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างขั้นตอนการหารือร่วมกับบริษัทแม่ในเรื่องดังกล่าว ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาแต่อย่างใด โดยขณะนี้มีศูนย์บริการ 4 สาขา ที่เปิดให้บริการไปแล้ว 4 แห่ง คือ วิภาวดีฯ ลาดพร้าว ปทุมวัน และบางจาก ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่เป็นรถเก่า ทำให้บริษัทคาดว่าจะขยายเพิ่มธุรกิจดังกล่าวให้ครอบคลุมกับโชว์รูมและศูนย์ บริการทั้ง 11 แห่งในอนาคต

นายวิชัยกล่าวว่า ความต้องการใช้รถยนต์ที่ประหยัดพลังงานกำลังเป็นที่ต้องการของลูกค้าจำนวน มาก บวกกับบริษัทต้องการสนองตอบนโยบายการประหยัดพลังงานของภาครัฐ สำหรับรถยนต์ที่เข้ารับการติดตั้งก๊าซจากบริษัทจะได้รับประกันจาก ปตท. แทนการรับประกันและวอร์แรนตีจากบริษัทแม่

"เราค่อนข้างจะให้ความ สำคัญในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยจากการติดตั้ง เราเชื่อว่าการดำเนินการดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลกระทบขัดแย้งกับบริษัทแม่ อย่างแน่นอน"

แหล่งข่าวฝ่ายบริหาร บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ฮอนด้ากำลังอยู่ระหว่างพัฒนารถยนต์นั่งที่สามารถใช้เครื่องยนต์ซีเอ็นจีขึ้น ในประเทศไทย ทั้งนี้เพราะฮอนด้าเพิ่งมีการเปิดตัวซีวิค ซีเอ็นจี ในประเทศจีนเมื่อไม่นานมานี้ และคาดว่าอนาคตหากฮอนด้าจะหันมาพัฒนารถยนต์ซีเอ็นจีสำหรับประเทศไทยคงจะไม่ ใช่เรื่องยาก

ขณะที่นางสาวปาณิศรา รุจสวรรยา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ส.ศิริแสง จำกัด ผู้รับติดตั้งชุดอุปกรณ์เอ็นจีวีและ แอลพีจีรายใหญ่ เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้รถยนต์นิยมหันมาติดตั้งก๊าซเอ็นจีวีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยตลอดระยะเวลา 5 เดือนที่ผ่านมานั้น บริษัทได้ติดตั้งซีเอ็นจีให้กับรถยนต์ไปแล้วกว่า 1,000 คัน

โดย มากกว่า 500 คัน เป็นการติดตั้งในรูปแบบตลาดฟลีตให้กับองค์กรรัฐและเอกชน รวมถึงตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นโตโยต้า ฮอนด้า นิสสัน และเชฟโรเลต โดยเฉพาะการเป็น ผู้ดำเนินการติดตั้งชุดอุปกรณ์ซีเอ็นจีให้กับ ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อย่างเชฟโรเลต เพื่อนำออกมาจำหน่ายในรูปแบบของการติดตั้งถังก๊าซแบบ "เลโทรฟิต" (letrofit) หรือการติดตั้งโดยได้รับการรับรองและการวอร์แรนตีจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์

นอก จากนี้ บริษัทได้ดำเนินการร่วมในรูปแบบที่เรียกว่า "ดีลเลอร์ชิป" หรือการอบรมให้ความรู้ด้านการติดตั้งชุดอุปกรณ์ ซีเอ็นจีพื้นฐาน ให้กับตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อต่างๆ ที่เป็นพันธมิตร เพื่อนำไปพัฒนาและติดตั้งให้กับรถรถยนต์ยี่ห้อของตัวเอง

"เราต้องการ ให้ดีลเลอร์แต่ละรายสามารถติดตั้งงานของยี่ห้อตัวเองได้อย่างเหมาะสมและถูก วิธี แต่ถ้างานของดีลเลอร์ชิปล้นมือ เราก็พร้อมที่จะเข้าไปรับติดตั้ง ให้ด้วย"

สำหรับการติดตั้งชุดอุปกรณ์ซีเอ็นจีของบริษัทนั้นมีราคา เริ่มต้นตั้งแต่ 40,000 บาท ในระบบลูกสูบ และราคา 60,000 บาท ในระบบหัวฉีด ส่วนการติดตั้งแอลพีจีนั้น มีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 10,000-20,000 บาท ในระบบลูกสูบ และราคา 30,000-40,000 บาท ในระบบหัวฉีด โดยบริษัทจะให้การรับประกันเป็นระยะเวลา 1 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร